ศาลปกครองนัดสภาเทคนิคการแพทย์ไต่สวนข้อเท็จจริง 25 ก.พ.นี้ กรณีไม่รับรองหลักสูตรเทคนิค แก่ มบส.ด้านนายกสภา รับปรับเกณฑ์จริง เพื่อประโยชน์ของมหาวิทยาลัย เผย หากตรวจครั้งที่ 3 ผ่านเกณฑ์เสนอแผนเยียวยา นศ.ปี 1-3 ให้ย้ายสถาบัน ชี้ หาก มหา’ลัย ยังดื้อสอนจนมี นศ.จบชั้นปี 4 เสนอให้เทียบโอนรายวิชาที่อื่นแทน ก่อนออกสู่วิชาชีพ
จากกรณีที่นักศึกษาสาขาเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) เดินหน้าเรียกร้องต่อ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กรณีที่เรียนจบหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (เทคนิคการแพทย์) ของมหาวิทยาลัยแล้วไม่สามารถเข้าฝึกวิชาชีพได้ เนื่องจากไม่ผ่านการรับรองหลักสูตรจากสภาเทคนิคการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จนทำให้ฝ่ายบริหารตัดสินใจฟ้องศาลปกครองนั้น
ล่าสุด วันนี้ (23 ก.พ.) รศ.สมชาย วิริยะยุทธกร นายกสภาเทคนิคการแพทย์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ทางสภาฯได้รับหนังสือจากศาลปกครองแล้ว โดยศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องวันศุกร์ที่ 25 ก.พ.โดยสภาจะเข้าชี้แจงข้อมูลทุกอย่างกับศาลแบบละเอียด ทั้งนี้ เบื้องต้นทางคณะกรรมการสภาเทคนิคการแพทย์ได้ประชุมหารือกันเกี่ยวกับการเยียวยานักศึกษาหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ของ มบส. แล้ว โดยหารือกันว่า หากการประเมินหลักสูตรของ มบส.ครั้งที่ 3 นั้นผ่านเกณฑ์ทุกอย่าง นักศึกษา(นศ.)ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1-3 ซึ่งอยู่ในช่วงที่ หลักสูตรไม่ผ่านการรับรอง ทางสภาฯจะเสนอให้มหาวิทยาลัยหาทางออกโดยการส่ง นศ.ทั้งหมดไปเรียนในรายวิชาพื้นฐานทางวิชาชีพในสถานศึกษาแห่งอื่นที่มีหลักสูตรผ่านการรับรองของสภา จนกว่าจะจบชั้นปีที่ 4 ส่วนกรณี นศ.ที่จบชั้นปีที่ 4 แล้ว แต่สภาตรวจหลักสูตร ครั้งที่ 3 ไม่ผ่าน มหาวิทยาลัยเองก็ยังคงสอนต่อไปในหลักสูตรเดิม จะต้องเปิดโอกาสให้ นศ.เทียบโอนรายวิชาบางอย่างในสถาบันการศึกษาแห่งอื่นเช่นกัน ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องรับผิดชอบในการประสานงานกับสถาบันการศึกษาปลายทาง
รศ.สมชาย กล่าวด้วยว่า หลังจากได้ดำเนินการตรวจไปแล้ว 2 ครั้ง พบว่า หลักสูตรเทคนิคการแพทย์ของมหาวิทยาลัยดังกล่าวไม่ผ่านเกณฑ์ตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือ สกอ.ในเรื่องของจำนวนอาจารย์ ห้องปฏิบัติการ และมาตรฐานของวิชาเรียนที่เป็นพื้นฐานวิชาชีพที่ นศ.ด้านการแพทย์ เภสัชกรรม พยาบาล และวิทยาศาสตร์การแพทย์ต้องเรียนร่วมกัน ซึ่งทางสภาได้มีหนังสือชี้แจงไปยังมหาวิทยาลัยแล้วโดยแนะนำให้มีการปรับปรุงใหม่ให้ตรงตามเกณฑ์ ซึ่งขณะนี้ไม่ใช่แค่ มบส.เท่านั้นที่ต้องปรับปรุง แต่ยังมีวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยอีก 2 แห่งทั่วประเทศ อยู่ในระหว่างขั้นตอนการปรับปรุงหลักสูตรในลักษณะคล้ายกัน ทั้งนี้ สภายืนยันว่า ทำทุกอย่างเพื่อมาตรฐานของบุคลากรด้านเทคนิคการแพทย์ที่ไม่สามารถลดหย่อนเกณฑ์ได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพและชีวิตของประชาชน
ต่อข้อถามว่า ที่ทาง มบส.ติงสภา ว่า มีการปรับเกณฑ์ในการประเมินนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายกสภาฯตอบว่า ทาง คกก.ได้ปรับเกณฑ์การประเมินใน 2 ประเด็น คือ ในส่วนของการอนุญาตให้มหาวิทยาลัยมีการสรรหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยกำหนดว่า ต้องมีตำแหน่งป็นอาจารย์ หรือเป็นนักเทคนิคการแพทย์ในระดับปฏิบัติการที่มีประสบการณ์ในโรงพยาบาลอย่างน้อย 5 ปี ประเด็นที่ 2 ต้องมีการจัดระบบการเรียนการสอนพื้นฐานวิชาชีพที่มีมาตรฐานและมีคุณภาพเทียบเท่าสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น วิชาอนาโตมี จะต้องสอนเหมือนกับหลักสูตรแพทย์ศาสตร์ เภสัชกรรม พยาบาล วิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือเทคนิคการแพทย์ ซึ่งการปรับปรุงส่วนนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งหรือเรื่องมากของสภาฯ แต่เป็นการเพิ่มโอกาสให้มหาวิทยาลัยได้พัฒนาหลักสูตรที่ดีขึ้น ซึ่งไม่ส่งผลด้านลบแต่อย่างใด
จากกรณีที่นักศึกษาสาขาเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) เดินหน้าเรียกร้องต่อ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กรณีที่เรียนจบหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (เทคนิคการแพทย์) ของมหาวิทยาลัยแล้วไม่สามารถเข้าฝึกวิชาชีพได้ เนื่องจากไม่ผ่านการรับรองหลักสูตรจากสภาเทคนิคการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จนทำให้ฝ่ายบริหารตัดสินใจฟ้องศาลปกครองนั้น
ล่าสุด วันนี้ (23 ก.พ.) รศ.สมชาย วิริยะยุทธกร นายกสภาเทคนิคการแพทย์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ทางสภาฯได้รับหนังสือจากศาลปกครองแล้ว โดยศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องวันศุกร์ที่ 25 ก.พ.โดยสภาจะเข้าชี้แจงข้อมูลทุกอย่างกับศาลแบบละเอียด ทั้งนี้ เบื้องต้นทางคณะกรรมการสภาเทคนิคการแพทย์ได้ประชุมหารือกันเกี่ยวกับการเยียวยานักศึกษาหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ของ มบส. แล้ว โดยหารือกันว่า หากการประเมินหลักสูตรของ มบส.ครั้งที่ 3 นั้นผ่านเกณฑ์ทุกอย่าง นักศึกษา(นศ.)ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1-3 ซึ่งอยู่ในช่วงที่ หลักสูตรไม่ผ่านการรับรอง ทางสภาฯจะเสนอให้มหาวิทยาลัยหาทางออกโดยการส่ง นศ.ทั้งหมดไปเรียนในรายวิชาพื้นฐานทางวิชาชีพในสถานศึกษาแห่งอื่นที่มีหลักสูตรผ่านการรับรองของสภา จนกว่าจะจบชั้นปีที่ 4 ส่วนกรณี นศ.ที่จบชั้นปีที่ 4 แล้ว แต่สภาตรวจหลักสูตร ครั้งที่ 3 ไม่ผ่าน มหาวิทยาลัยเองก็ยังคงสอนต่อไปในหลักสูตรเดิม จะต้องเปิดโอกาสให้ นศ.เทียบโอนรายวิชาบางอย่างในสถาบันการศึกษาแห่งอื่นเช่นกัน ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องรับผิดชอบในการประสานงานกับสถาบันการศึกษาปลายทาง
รศ.สมชาย กล่าวด้วยว่า หลังจากได้ดำเนินการตรวจไปแล้ว 2 ครั้ง พบว่า หลักสูตรเทคนิคการแพทย์ของมหาวิทยาลัยดังกล่าวไม่ผ่านเกณฑ์ตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือ สกอ.ในเรื่องของจำนวนอาจารย์ ห้องปฏิบัติการ และมาตรฐานของวิชาเรียนที่เป็นพื้นฐานวิชาชีพที่ นศ.ด้านการแพทย์ เภสัชกรรม พยาบาล และวิทยาศาสตร์การแพทย์ต้องเรียนร่วมกัน ซึ่งทางสภาได้มีหนังสือชี้แจงไปยังมหาวิทยาลัยแล้วโดยแนะนำให้มีการปรับปรุงใหม่ให้ตรงตามเกณฑ์ ซึ่งขณะนี้ไม่ใช่แค่ มบส.เท่านั้นที่ต้องปรับปรุง แต่ยังมีวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยอีก 2 แห่งทั่วประเทศ อยู่ในระหว่างขั้นตอนการปรับปรุงหลักสูตรในลักษณะคล้ายกัน ทั้งนี้ สภายืนยันว่า ทำทุกอย่างเพื่อมาตรฐานของบุคลากรด้านเทคนิคการแพทย์ที่ไม่สามารถลดหย่อนเกณฑ์ได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพและชีวิตของประชาชน
ต่อข้อถามว่า ที่ทาง มบส.ติงสภา ว่า มีการปรับเกณฑ์ในการประเมินนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายกสภาฯตอบว่า ทาง คกก.ได้ปรับเกณฑ์การประเมินใน 2 ประเด็น คือ ในส่วนของการอนุญาตให้มหาวิทยาลัยมีการสรรหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยกำหนดว่า ต้องมีตำแหน่งป็นอาจารย์ หรือเป็นนักเทคนิคการแพทย์ในระดับปฏิบัติการที่มีประสบการณ์ในโรงพยาบาลอย่างน้อย 5 ปี ประเด็นที่ 2 ต้องมีการจัดระบบการเรียนการสอนพื้นฐานวิชาชีพที่มีมาตรฐานและมีคุณภาพเทียบเท่าสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น วิชาอนาโตมี จะต้องสอนเหมือนกับหลักสูตรแพทย์ศาสตร์ เภสัชกรรม พยาบาล วิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือเทคนิคการแพทย์ ซึ่งการปรับปรุงส่วนนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งหรือเรื่องมากของสภาฯ แต่เป็นการเพิ่มโอกาสให้มหาวิทยาลัยได้พัฒนาหลักสูตรที่ดีขึ้น ซึ่งไม่ส่งผลด้านลบแต่อย่างใด
