xs
xsm
sm
md
lg

งานวิจัยพบ ผู้ป่วยเอดส์ดื่มน้ำเอ็มเรท อาการดีขึ้น “พระอลงกต” เตือนอย่าด่วนสรุป

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นพ.พีรยศ ตรงสวัสดิ์
อดีต ผอ.กองควบคุมโรคเอดส์ กทม.เผยงานวิจัยผู้ป่วยเอดส์ วัดพระบาทน้ำพุ ที่ดื่มน้ำเอ็มเรท มีค่าซีดี 4 ซีดี 8 ในระดับที่สูงขึ้น และปริมาณไวรัสลดต่ำลง ด้าน พระอุดมประชาทร แนะศึกษาต่อเชิงลึก ให้ ปชช.ทดลองด้วยตนเอง อย่างเพิ่งด่วนสรุปว่าดีจริง ขณะที่ผู้ป่วยเอดส์ บอก อาการดีขึ้นเหมือนคนปกติ พร้อมบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือวัดพระบาทน้ำพุ

วันนี้ (9 ก.พ.) ที่โรงแรมแกรนด์ มิลเลเนียม สุขุมวิท มีการจัดแถลงผลการวิจัย “การศึกษาเปรียบเทียบระดับภูมิคุ้มกันซีดี 4 และ ซีดี 8 และปริมาณเชื้อเอชไอวีในผู้ป่วยเอดส์ที่ดื่มน้ำเอ็มเรท กับน้ำธรรมดา”

นพ.พีรยศ ตรงสวัสดิ์ แพทย์สาธารณสุข อดีตผู้อำนวยการกองควบคุมโรคเอดส์ สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร รวมทั้งยังเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า การศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยครั้งที่ 2 ซึ่งทั้งสองครั้งก็ได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอลงกต ที่ได้ให้วัดพระบาทน้ำพุ เป็นชุมชนตัวอย่างในการทำการศึกษาด้วยการสังเกตทางการแพทย์ โดยครั้งแรกจะศึกษาเรื่องการเพิ่มขึ้นของซีดี 4 หรือระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำในผู้ป่วยเอดส์อาสาสมัครจำนวน38 ราย ระหว่างเดือนกรกฏาคม 2547-สิงหาคม 2548 จากการสังเกตการทางการแพทย์เมื่อปี 2548 ก็ได้ผลที่น่าพอใจ คือ ผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการของโรคแทรกซ้อนลดลง ผิวหนังดีขึ้น น้ำหนักเพิ่ม และการตรวจเม็ดเลือดขาวซีดี 4 ของอาสาสมัคร พบว่า เพิ่มขึ้น 18 คน เช่น อาสาสมัครบางคนมีระดับภูมิต้านทานซีดี 4 จาก 90 เป็น 805 ซึ่งค่าซีดี 4 ของคนปกติจะอยู่ประมาณที่ 400-1,200 คนส่วนที่เหลือมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ออกจากโครงการก่อนกำหนดตรวจวัดผลทางการแพทย์

นพ.พีรยศ กล่าวต่อว่า จากผลการศึกษาครั้งแรกที่ออกมา ก็อยากทำให้มีการศึกษาต่อครั้งที่สอง ซึ่งครั้งนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบระดับภูมิคุ้มกันซีดี 4 และซีดี 8 และปริมาณเชื้อเอชไอวีในผู้ป่วยที่ดื่มน้ำเอ็มเรท กับน้ำธรรมดา ซึ่งเป็นการสังเกตทางการแพทย์ในการนำเอ็มเรทไปเสริมการรักษาผู้ป่วยเอดส์ ร่วมกับการรักษายาต้านไวรัส ระยะเวลาการทดลองระหว่างเดือนเมษายน 2552-เมษายน 2553 มีอาสาสมัครเข้าร่วม 55 คน แต่เหลือผู้ทดลองจนสำเร็จ 32 คน โดยจำนวนคนที่อยู่ทดลองไม่สำเร็จนั้น ก็มาจากการที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้ เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ เสียชีวิตระหว่างทดลอง หรือเมื่ออาการดีขึ้นก็ไม่ทำตามกฎอย่างเคร่งครัดเหมือนเดิม ทุกคนที่เข้าร่วมจะเป็นเอดส์ระยะสุดท้าย และมีโรคแทรกซ้อน เช่น มะเร็ง วัณโรค เชื้อราขึ้นสมอง

“ผู้ป่วยต้องตรวจสุขภาพก่อนเข้าโครงการ เช่น ตรวจหาปริมาณซีดี 4 ซีดี 8 ปริมาณเชื้อเอชไอวี หลังจากนั้น ก็จะมีการจับสลาก ว่า ผู้ป่วยคนใดจะได้ดื่มน้ำเอ็มเรท หรือกลุ่มใดจะได้ดื่มน้ำสะอาดธรรมดา โดยอาสาสมัครทุกคนจะไม่รู้ว่าตนเองจะได้รับดื่มน้ำอะไร ในแต่ละวันผู้ป่วยจะต้องดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 600 ซีซี และให้มีการบันทึกผลสุขภาพทุกวัน นอกจากนี้ จะขอเจาะเลือดอาสาสมัครก่อนดื่มน้ำ เจาะเลือดหลังเข้าโครงการ 3 เดือน 6 เดือน และก่อนสิ้นสุดโครงการ” นพ.พีรยศ กล่าว

หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวต่อไปว่า อาสาสมัครกลุ่มที่ดื่มน้ำเอ็มเรท เมื่อมีการเจาะเลือดหาปริมาณซีดี 4 ซีดี 8 และปริมาณเชื้อไวรัส พบว่า ค่าต่างๆเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนแรก และค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนถึงเดือนที่ 6 และปริมาณของไวรัสก็ลดลงตั้งแต่เดือนที่หนึ่ง ซึ่งก็สอดคล้องกับอาการด้านร่างกายที่ดีขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มีแรงลุกเดิน ผิวหนังที่มีตุ่มก็หายไป เช่น อาสาสมัครคนหนึ่งดื่มน้ำเอ็มเรท ไม่ใช้ยาต้านไวรัส ค่าซีดี 4 ก่อนดื่มน้ำ 34 และซีดี 8 ก่อนดื่ม 1,038 เชื้อไวรัส 169,000 แต่หลังจากนั้น 6 เดือน ค่าซีดี 4 คือ 155 ซีดี 8 มี 1,348 และปริมาณไวรัส 421 ขณะที่ผู้ป่วยที่ดื่มน้ำสะอาดค่าซีดี 4 และค่าซีดี 8 ไม่เพิ่มขึ้น บางรายก็มีอาการทรุดลงด้วย จึงทำให้ต้องเปลี่ยนจากการดื่มน้ำธรรมดา มาดื่มน้ำเอ็มเรทแทน และจากผลการวิจัยครั้งนี้ก็ออกมาในระดับที่พอใจ ที่สามารถทำให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดี ถึงแม้บางรายอาการอาจจะทรุดลง ซึ่งมาจากการขาดระเบียบวินัย ไม่ปฏิบัติตามที่โครงการกำหนด

ขณะที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์อลงกต (พระอุดมประชาทร) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ กล่าวว่า การวิจัยโครงการแรก กับการวิจัยครั้งที่ 2 มีทั้งความเหมือนและแตกต่าง คือ ทำให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น ผู้ป่วยหลายรายต่างก็ยืนยันว่า สุขภาพดีแข็งแรง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี แต่กระนั้นก็มีข้อที่น่าสังเกต คือ การที่จะมีอาการดีขึ้นหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยนั้นจะมีการปฏิบัติตามกฎ มีวินัยในการใช้ชีวิตด้วย

“ในการทำวิจัยทั้งสองครั้ง หลวงพ่อก็ไมได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนัก เพียงสังเกตดูอยู่เป็นระยะเท่านั้น นั่นก็เพื่อไม่ให้เป็นตัวแปร หรือกดดัน ทั้งคนทำวิจัยและผู้ป่วย และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ด้วย จึงขอเป็นผู้สังเกตการณ์ ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า การมีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดื่มน้ำอย่างเดียว แต่ก็ต้องอยู่กับปัจจัยอื่นด้วย อย่างไรก็ตาม ก็อยากให้มีการวิจัยในเชิงลึก มีการศึกษาในผู้ป่วยหลากหลายกลุ่มเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งอยากให้ทุกคนได้ทดลองด้วยตนเอง อย่างเพิ่งสรุปว่าดีจริง เพราะตนเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าดีจริงหรือไม่” เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ กล่าว

ด้านนายสมชาย(นามสมมติ) ผู้ป่วยโรคเอดส์ วัย 23 ปี กล่าวว่า ป่วยเป็นโรคเอดส์มาตั้งแต่อายุ 14 ปี ได้เข้ามารักษาตัวที่วัดพระบาทน้ำพุ เมื่อปี 2552 โดยอาการก่อนเข้าร่วมโครงการวิจัยฯ ก็ทรงๆ มาตลอด รวมทั้งยังเป็นวัณโรค ซึ่งเป็นโรคแทรกซ้อนด้วย จึงส่งผลให้น้ำหนักลดลงเรื่อยๆ จาก76 กิโลกรัม เหลือเพียง 43 กิโลกรัม หลังเข้าร่วมโครงการแล้วอาการของผู้ที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ ไม่ว่าจะเป็น ผิวหนังแห้ง มีตุ่ม ก็ค่อยๆ ทุเลาลง จนตอนนี้อาการเหมือนคนปกติทั่วไป และจากอาการที่ดีขึ้น จึงทำให้คิดว่าควรที่จะทำตนเป็นประโยชน์แก่วัด จึงเข้าไปช่วยงานพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์อลงกต
พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์อลงกต(พระอุดมประชาทร) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ

กำลังโหลดความคิดเห็น