“นิมิตร” จวกสังคมไทยเหลื่อมล้ำ อัดระบบประกันสังคมได้รับความเป็นธรรมน้อยสุด ชี้ผู้ประกันตนเป็นประชาชนกลุ่มเดียวที่ยังต้องจ่ายสิทธิรักษาพยาบาลให้กับตัวเอง ในขณะที่คนที่เหลือรัฐบาลจ่ายให้หมด
วานนี้ (26 ม.ค.) นายนิมิตร เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุขไทยว่า ปัจจุบันระบบประกันสังคมได้รับความเป็นธรรมน้อยที่สุด เนื่องจากกลุ่มผู้ประกันตนเป็นประชาชนกลุ่มเดียวที่ยังต้องจ่ายสิทธิรักษาพยาบาลให้แก่ตัวเอง ในขณะที่คนที่เหลือรัฐบาลจ่ายให้หมด สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมกันที่ประชาชนได้รับ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญกำหนดว่าเป็นสิทธิของประชาชนที่จะได้รับบริการสุขภาพจากรัฐ แต่ในระบบประกันสุขภาพของข้าราชการ และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้น รัฐบาลจ่ายให้ ซึ่งเป็นเงินภาษีจากประชาชนทุกคนที่รัฐใช้ไปในการดูแลสุขภาพประชาชน เท่ากับว่าประชาชนได้จ่ายโดยอ้อมอยู่แล้ว แต่กรณีระบบประกันสังคม ผู้ประกันตนกลับต้องจ่ายซ้ำซ้อน 2 ต่อ คือ นอกจากจ่ายภาษีแล้วยังต้องจ่ายสิทธิรักษาพยาบาลให้แก่ตัวเองในทุกๆ เดือนอยู่ด้วย นอกจากนั้น คนที่จ่ายเงินเองยังได้รับสิทธิประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปด้วย
นายนิมิตรกล่าวอีกว่า ยกตัวอย่างกรณีการเหมาจ่ายค่าคลอดบุตรครั้งละ 13,000 บาท ก็เป็นสิทธิประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม เพราะเหมาจ่ายเฉพาะค่าคลอดบุตร แต่ก่อนที่จะมีการคลอดบุตร ต้องมีการฝากครรภ์ ตรวจครรภ์ การดูแลสุขภาพทารกในครรภ์ ซึ่งตรงนี้ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินเอง แต่ถ้าเป็นสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิประโยชน์นี้ครอบคลุมคนไทยทุกคน แต่ผู้ประกันตนไม่ได้รับแถมยังต้องจ่ายเงินเองอีก การที่ประกันสังคมใช้การเหมาจ่ายค่าคลอด สะท้อนว่าสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ไม่มีวิธีการดูแลที่มีประสิทธิภาพให้ผู้ประกันตนไปจัดการเอง
ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ระบบประกันสังคมเป็นระบบที่ก้าวหน้ามากในประเทศไทย แต่ 20 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาย่ำอยู่กับที่ นักการเมือง ฝ่ายนโยบายไม่ยอมพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย ถึงยุคหนึ่งที่คนไทยทุกคนมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ผู้ประกันตนก็ไม่ควรต้องจ่ายสมทบสิทธิรักษาพยาบาลอีก เงินจำนวนร้อยละ 0.88 และรวมค่าคลอดบุตรอีกร้อยละ 0.12 เป็นร้อยละ 1 จากทั้งหมดร้อยละ 5 ซึ่งเป็นอัตราถึง 1 ใน 5 นั้น ควรนำไปดูแลสิทธิประโยชน์อีก 6 ด้านของระบบประกันสังคมจะเป็นประโยชน์มากกว่า เช่น สิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ ปัจจุบันผู้ประกันตนถูกหักสมทบร้อยละ 3 ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นมาก แต่ในอัตราปัจจุบัน ผู้ประกันตนเมื่อเกษียณแล้วจะได้รับเดือนละ 2 พันกว่าบาท ซึ่งน้อยมากจนไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้าเพิ่มเป็นร้อยละ 4 จะเป็นประโยชน์และทำให้ผู้ประกันตนเมื่อเกษียณอายุไปแล้วมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น