สัมภาษณ์พิเศษ
หลังจากที่พิษลม SP2 พัด “มานิต นพอมรวดี” อดีตรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขพ้นจากเก้าอี้แล้ว หลังต้นเดือน ม.ค.53 หวยก็มาออกที่ “พรรณสิริ กุลนาถศิริ” น้องสาวสุดรักของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” แกนนำกลุ่มมัชฌิมา พรรคภูมิใจไทย นับเป็นการผลักดันคนในครอบครัวให้เติบโตทางการเมืองแบบก้าวกระโดดตามตำราการเมืองเก่า
อย่างไรก็ตาม แม้คนเมืองสุโขทัยไม่ข้องใจนักที่ “อาจารย์พรรณสิริ” คนนี้มาเป็นนักการเมืองเต็มตัวหลังจากรับราชการครูมาตลอดและตัดสินใจเกษียณอายุราชการในวัย 51 ปีเมื่อเดือนก.ย.52 ที่ผ่านมา แต่อีกหลายต่อหลายคนยังไม่ทราบมาก่อนว่า รมช.ผู้นี้เคยทำอะไรมาบ้าง และเมื่อมานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วมีทิศทางจะบริหาร สธ.ในยุควิกฤตไทยเข้มแข็ง และหวัด 2009 ระบาดอย่างไร
**การเข้ามารับตำแหน่งของ รมช.ครั้งนี้ มีเสียงกดดันวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกรณีที่เป็นน้องสาวสมศักดิ์ เทพสุทิน
เป็นคนที่ไม่ค่อยจะคิดอะไรไม่ค่อยสนใจเรื่องจากภายนอกเท่าไหร่ คิดเพียงว่าจะทำอะไรได้บ้าง เพราะคิดแต่ว่าเมื่อเป็นตัวแทนพรรคเข้ามาแล้วเราจะทำงานอย่างไร เราก็มีต้นทุนอยู่ระดับหนึ่งจากที่เคยทำงานกับสังคมท้องถิ่น กับภาระหน้าที่งาน จะนำตรงนั้นมาใช้กับหน้าที่รัฐมนตรีอย่างไร ความคิดจะไหลไปตรงนั้นมากกว่า ไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะว่าอย่างไรไม่มีประเด็นให้ต้องคิดมากอะไรเลย
**เตรียมความพร้อมกับการรับตำแหน่งอย่างไร และกังวลเรื่องภาระงานที่ได้รับมอบหมายหรือไม่
ในช่วงแรกที่เราเกษียณอายุจากข้าราชการครู คิดว่าตัวเองจะมาดูแลคุณพ่อคุณแม่ซึ่งสุขภาพไม่ค่อยดีทั้งสองท่าน ทำงานการเมืองระดับท้องถิ่น ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นนักการเมืองเต็มตัวขนาดนี้ แต่ท่านสมศักดิ์(สมศักดิ์ เทพสุทิน) บอกว่าว่าพรรคสนใจ แต่เราก็ปฏิเสธตลอดจนกระทั่งเงื่อนไขท้ายสุดก็ยังปฏิเสธ แต่เปิดทางเลือกไว้ให้ท่านว่าเมื่อพรรคพิจารณาขนาดนี้แล้วเราขอเป็นตัวเลือกสุดท้าย ถ้าไม่มีช่องทางอื่น ถ้าเป็นเราก็จะทำให้ดีที่สุด ท้ายที่สุดการตัดสินใจเป็นเรื่องของพรรคสำหรับการเตรียมตัวทำงานก็เตรียมแบบปกติธรรมดามาก
แต่ในช่วงแรกที่คนเห็นมีคนมาเป็นพี่เลี้ยงดูแล คิดว่าท่านสมศักดิ์ส่งมาหรือเปล่า จริงๆ เป็นทีมงานที่เคยทำงานด้วยกันที่ มูลนิธิรุ่งอรุณแห่งความสุขที่จ.สุโขทัย ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ส่วนการทำงานกับหมอคิดว่าไม่มีปัญหา เพราะจากประสบการณ์ในการเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาเคมี กระทั่งมาบริหารการศึกษา ได้เข้ามาเรียนรู้ในบริบทของท้องถิ่น เรียนวิชาพัฒนาสังคม ประกอบกับการลงพื้นที่เป็นประจำ ทำให้ไม่หนักใจ เพราะคิดว่า งานทุกอย่างผสมผสานกัน เพราะฉะนั้นความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เรากังวลหรือหนักใจ เป็นคนไม่ค่อยกังวลรู้แต่ว่าจะทำอะไรให้ได้มากที่สุด หยิบคว้า สนใจไต่ถาม ก็จะเกิดขึ้นโดยระบบ เป็นการสื่อสาร
**การเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงใหญ่ และการทำงานค่อนข้างยาก ซึ่งที่ผ่านมาผู้บริหารก็โดนเล่นงานเยอะ
หลักการทำงานที่สำคัญคือความรู้ต้องคู่ไปกัน และเราต้องมองเป้าหมายการทำงานคือสุขภาพของประชาชนเป็นหลัก แล้วก็ทำงานต่อ และเชื่อว่าบุคลากรในกระทรวงสาธารณสุขเป็นคนที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว ส่วนปัญหาความแตกแยกของหมอที่เป็นก๊ก ไม่ใช่อุปสรรคในการทำงาน ความคิดที่แตกต่างถือเป็นเรื่องปกติ แต่เราเชื่อว่าคนทุกคนใฝ่ดี ซึ่งสุดท้ายทุกอย่างจะเดินไปตามธรรมชาติ ซึ่งทำงานมาระยะหนึ่งก็ยังไม่มีปัญหาอะไร ยังสบายๆ ที่ประทับใจคือ การทำงานทุกส่วน กรม กอง สำนักงาน บุคลากรมีความรู้ ความมุ่งมั่น และอยากเห็นผลสำเร็จของงานที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ หมอพร้อมสร้างประโยชน์ พลังล้นเหลือ
**ทำงานกับรัฐมนตรีต่างพรรค
ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะว่าเราต่างก็ทำงานตามกรอบที่ได้ หรือจะมีคนบอกว่าเป็นเราเป็นรัฐมนตรีส้มหล่น ก็ไม่เคยเอาเรื่องหล่านี้มาเป็นจุดคิด ไม่เคิดเรื่องเล็กๆ น้อย เป็นคนไม่เอาความคิดอะไรมาใส่ตัว แต่คิดว่าฉันจะทำอะไร เป้าหมายคืออะไร จะอยู่กับงานตรงนี้ตลอด
**ใน 6 หน่วยงานที่รัฐมนตรีจุรินทร์ มอบหมายให้ มีนโยบายการทำงานอย่างไรบ้าง
คิดว่าบุคลากรและทีมงานในกระทรวงสาธารณสุขมีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว การทำงานภาพรวมเราจะเน้นการมีส่วนร่วม สามัคคี และความโปร่งใส เป็นหลักการทำงานเรื่องขององค์ความรู้กับเรื่องของคุณธรรมภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้การทำงานบรรลุเป้าหมายอย่างเหมาะสม เบื้องต้นจะลงลึกถึงความเป็นอยู่และสุขภาพของประชาชนในระดับบุคคลในชุมชนในท้องถิ่น เป็นลักษณะของการดูแลรักษาสุขภาพเชิงป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการในพระราชดำริทุกโครงการ อาจจะสื่อสารไปในเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพชุมชนท้องถิ่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในภูมิปัญญาและองค์ความรู้ที่เขามีอยู่ในท้องถิ่น
ในส่วนของนโยบายและการผลักดันเรื่องของการแพทย์ของไทยนั้น เห็นว่าคณะแพทย์และพยาบาล มีฝีมือขั้นชื่ออยู่แล้ว แต่ในเชิงนโยบายการสนับสนุนตรงนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับว่าจะมีการบูรณาการในองค์กรสธ.และเชื่อมเข้าไปในกระทรวงต่างๆ อีกด้วยหรือไม่ ตรงนี้ถือว่าดูทั้งอดีตความเป็นมา ภูมิปัญญาที่มีอยู่ ความเป็นปัจจุบันของระบบต่างๆ เราเน้นเชิงป้องกัน ส่วนการส่งเสริม รักษาฟื้นฟู ก็ต้องเป็นไปตามระบบจึงจะสุขภาพดีในเบื้องต้นก่อน ให้ประชาชนรักที่จะดูแลสุขภาพตัวเอง ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเริ่มเคลื่อนจาก อสม.(อาสาสมัครสาธารณสุข) หมู่บ้านก่อนเป็นอันดับแรกแล้วเชื่อมไปสู่กิจกรรมเชิงบูรณาการสู่การเป็นต้นแบบหรือเป็นฮับเรื่องของสุขภาพในภาคพื้นเอเชียได้ เรามองภาพยาว ภาพกว้าง
**ที่ผ่านมาอดีตรมช.มานิตลุยงานเรื่องการผลักดันกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ จะสานต่องานเรื่องนี้อย่างไร
คิดว่าจะต้องค่อยเป็นค่อยไป การส่งเสริมรณรงค์งดเหล้าในเทศกาลต่างๆ เป็นจุดเริ่มที่ดี แต่สำหรับนิสัยคนไทยต้องค่อยเป็นค่อยไป ฉะนั้น สิ่งต่างๆ หลายๆ อย่างที่ผู้บริหารเดิมเคยทำไว้แล้วย่อมมีประโยชน์ก็จะพิจารณาดูโครงการต่อเนื่องไป ส่วนกฏหมายเกี่ยวกับการโฆษณาเหล้าที่ตอนนี้ยังไม่คลอดออกมาก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาหารือ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องดูแล ต้องใส่ใจ
**กรณีการทุจริตในโครงการ Sp2 มีแนวความคิดจะจัดการตรงนี้อย่างไร
แนวความคิดตรงนี้รัฐบาลได้มอบหมายให้รมว.จุรินทร์(นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์) ดำเนินการ ซึ่งคิดว่าเป็นไปตามกลไกของระบบอยู่แล้ว คิดว่าทุกอย่างจะเหมาะสมและเป็นธรรมที่สุด และเราก็ไม่กังวลคำครหาที่ว่าเข้ามาเป็นรัฐมนตรีเพื่อช่วยท่านมานิต คิดแต่ว่าวันนี้เราจะทำอะไรให้ดีที่สุด ชอบทำงานๆ(หัวเราะ)
**งานชิ้นแรกที่คิดว่าจะทำให้เห็นเป็นรูปธรรมคืออะไร
เป็นคนไม่ใจร้อน ซึ่งตอนนี้อยากดูข้อมูล ตอนนี้มี 2 กรมที่มารายงานการทำงานให้ฟัง คือ แพทย์แผนไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมควบคุมโรค ซึ่งภาระหนักมากอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เห็นโดดเด่นและจะผลักดันคือ นโยบายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลร(รพ.สต.)ที่อยากเห็นความสำเร็จที่เป็น Best Practiceอาจจะเป็นระดับจังหวัด หรือภาค และนำร่องออกมาเป็นระยะ แล้วค่อยขยายเป็นระดับชาติ
ส่วนในชุมชนท้องถิ่นน่าจะเป็นเรื่องแพทย์แผนไทย ซึ่งเรามีทุนทางทรัพยากรอยู่แล่ว ทั้งเรื่องภูมิปัญญา วิถีชีวิตและบุคลากร จึงอยากผลักดันการทำงานให้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามจะต้องใช้ฐานข้อมูลที่อยู่บนกรอบของงานวิจัยที่มีความเที่ยงและความเชื่อมั่นสูง และมาจากหลายส่วน เชื่อมโยงให้คณะทำงานที่มีความพร้อมอยู่แล้วเคลื่อนที่ไปโดยเร็ว โดยให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด
**พรรคมีการมอบหมายอะไรพิเศษหรือไม่?
ไม่มีข้อกำหนดอะไร บอกให้ทำงานเต็มที่ ส่วนท่านมานิตก็คุยกับท่านบ้าง ส่วนใหญ่จะให้กำลังใจกันมากกว่า ท่านสมศักดิ์ก็ให้กำลังใจ เปิดกว้างการทำงาน ก็ท้าทายนิดๆ ด้วย
**ปิดท้ายด้วยนิสัยส่วนตัว?
แล้วแต่คนมอง แต่ลูกน้องส่วนใหญ่จะบอกว่า “ทั้งรัก ทั้งกลัว” ไม่รู้ว่าเป็นยังไงเหมือนกัน(หัวเราะ)
ภาพโดย พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร