รมช.มหาดไทย “ถาวร เสนเนียม” เดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติด 14 จังหวัดภาคใต้ ชูสงขลานำร่อง กวาดล้าง 1,300 หมู่บ้าน เพื่อประกาศหมู่บ้านสีขาว ชี้ความไม่พอใจต่อต้านอำนาจ “ทักษิณ” ต้นเหตุเกิดความไม่สงบภาคใต้ ขณะที่ผู้ว่าฯ สงขลา ใช้ผู้เสพยามาบำบัดเจาะหาข้อมูลสาวต้นตอขบวนการค้ายาระดับบิ๊ก
วันนี้ (3 ม.ค.) นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดกระทรวงมหาดไทย และประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจ กำกับดูแลการแก้ไขปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคใต้ เปิดเผยว่า ได้เริ่มนำร่องปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดแรก ในจำนวน 1,300 หมู่บ้าน โดยจะขยายการปราบปรามไปทั่วทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ต่อไป ซึ่งการดำเนินการจะเน้นการจัดทำประชาคมโดยวิธีลับ เพื่อค้นหาผู้ค้า ผู้เสพ ผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องทำอย่างโปร่งใส และมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่ทั่วทุกหมู่บ้าน และนำบัญชีผู้ค้า ผู้เสพ ผู้เกี่ยวข้องมากำหนดเป็นเป้าหมายที่จะดำเนินการแก้ไข โดยจะนำผู้เสพไปบำบัดให้หมด ซึ่งมีผู้เสพไปด้วยความสมัครใจก็มี แต่ถ้าไม่ยอมก็ต้องบังคับเช่นกัน
นอกจากนี้ ได้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดจังหวัด (ศตส.จ.) ด้วยตนเอง โดยมีผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมมือประสานการทำงานปราบปรามยาเสพติดให้หมดไป
สำหรับระดับอำเภอก็ให้นายอำเภอเป็นประธานการประชุม ศตส.อ.ด้วยตนเอง โดยให้ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการทำงานให้สอดคล้องกันกับระดับจังหวัด โดยรายงานการประชุม ศตส.อ. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบทุกเดือน รวมทั้ง ให้ทุกจังหวัดจัดให้มีโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “1 จังหวัด 1 Best Practice” เพื่อให้จังหวัดต่างๆ ได้เรียนรู้ร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในกระบวนงานต่างๆ อย่างไรก็ตาม หากการปราบปรามยาเสพติดประสบผลสำเร็จจะประกาศเป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติด(หมู่บ้านสีขาว) ในพื้นที่แต่ละจังหวัดด้วย
นายถาวรกล่าวต่อไปว่า เพื่อให้การปราบปรามยาเสพติดต่อเนื่องเห็นผลชัดเจนจะต้องเน้นประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบแนวนโยบายของรัฐให้ชัด ถ้าจับกุมพวกที่ค้ายาไม่ได้ ส่วนใหญ่จะมาจากหลักฐานไม่เพียงพอ ซึ่งมีทางแก้ไขด้วยวิธียึดทรัพย์ และมาพิสูจน์กันตามขั้นตอนของกฎหมาย ขณะเดียวกันก็ได้เปิดออนไลน์สายด่วนให้ประชาชนมีส่วนร่วมแจ้งเหตุ ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าทุก 1 เดือน จะต้องลดผู้เสพได้ 10%
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคใต้ส่วนใหญ่จะเป็นการค้ายาไอซ์ ยาบ้า ซึ่งจะดูกันง่ายและเป็นที่น่าสงสัยอยู่แล้วว่าบ้านคนปกติจะใหญ่โตเป็นถึงคฤหาสน์ได้อย่างไร ซึ่งตรงนี้ก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร จะเป็นตามที่มีคนกล่าวหาหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์ ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าไม่มีอิทธิพลใดมาครอบงำการทำงานปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีการเข้มงวดจับกุมโดยมีมากถึง 1 หมื่นกว่าคดี ได้ผู้ต้องหา 1.2 หมื่นคน
นอกจากนี้ นายถาวรกล่าวถึงกรณีพื้นที่จังหวัดภาคใต้เกิดเหตุรุนแรง และมีคดีสำคัญหลายคดีเมื่อเรื่องไปถึงอัยการกลับสั่งไม่ฟ้อง ว่ามีหลายคดีเช่นกันทั้งคดีใน กทม. และคดีในจังหวัดภาคใต้ ที่สั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากแต่ละส่วนงาน จับกุมผู้ต้องหาแล้วหลักฐานเบา อีกทั้งพยานหลักฐานไม่สามารถเอาผิดได้ชัดเจน ซึ่งปัญหาภาคใต้เกิดจากความไม่พึงพอใจ ในยุครัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะการใช้อำนาจ ซึ่งทำให้เกิดมีกองกำลังติดอาวุธมากขึ้น ดังนั้นจำเป็นต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้ถ่องแท้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาต้องใช้เวลา เพราะเหตุว่าผู้ก่อความไม่สงบมีอุดมการณ์ อยากยกสถานะพื้นที่บางเขตเป็นรัฐอิสระ จึงเกิดความไม่พอใจต่อต้านการใช้อำนาจ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาถูกทางแล้วแต่ต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหา ซึ่งต้องใช้ยุทธศาสตร์การทำความเข้าใจ ทำให้คนท้องถิ่นมีความภาคภูมิใจ มีวัฒนธรรมภาษา วิถีชีวิต ที่อยู่อย่างสันติสุข เน้นให้ประชาชนทราบและรู้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ไม่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ด้าน นายวิญญู ทองสกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เปิดเผยถึงการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ ว่าทางจังหวัดได้ดำเนินการตามขั้นตอนนโยบายสกัดกั้นยาเสพติด โดยเฉพาะพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เช่น อำเภอสะบ้าย้อย เพตา จะนะ นาทวี เพื่อเป็นการสาวให้ถึงขบวนการใหญ่ เราได้ให้ประชาชนผู้เสพ เข้าสู่การบำบัดและจะได้ทราบถึงข้อมูลบางส่วน เช่น ซื้อยาจากใคร ผู้ใดขาย จะได้รู้ถึงต้นตอและแหล่งผลิตต่อไป ขณะเดียวกันก็ได้แจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนให้ความร่วมมือแจ้งแบะแส โดยการเขียนจดหมายถึงนายอำเภอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ข้อมูลที่จะเกิดประโยชน์แก่รัฐได้นำไปปราบปรามยาเสพติดเห็นผลตามเป้าหมาย
ส่วนปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้นั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลากล่าวว่า ความไม่สงบที่เกิดขึ้นมาจากผู้ก่อความไม่สงบหลงผิด ได้รับการชี้แจง ได้รับการชักนำ ชี้นำมาในสิ่งที่ผิด ๆ จึงรวมกลุ่มกันก่อความวุ่นวาย ประกอบกับครอบครัวยากจน มีปัญหา ไม่รู้หลักศาสนาแท้จริง
“ถ้าเราทำให้เขาพ้นจากความยากจน รู้หลักศาสนาถูกต้อง หันกลับมาทำความดีเพื่อแผ่นดิน ปัญหาก็จะบรรเทาลงได้ ซึ่งตรงนี้เราต้องทำกันอย่างจริงจัง” นายวิญญูกล่าว