“สมาคม ร.ร.อาชีวศึกษาเอกชนฯ” ชี้ประกาศ กกอ.จัดการศึกษาป.ตรีต่อเนื่องยังไม่ชัดเจนในหลักสูตร จำกัดสิทธิ์เด็กจบ ปวส.ต่อ ป.ตรี ชี้ปีที่ผ่านมาส่งผลเด็กเรียน ปวส.ลดลงกว่าครึ่งแสน แนะ สกอ.เร่งสร้างความชัดเจนก่อนประกาศรับปีการศึกษา ’53
ดร.วีรวัฒน์ วรรณศิริ นายกสมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่ที่ประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้มีมติทบทวนมติ กกอ.ที่ได้ออกประกาศเรื่องการจัดการศึกษาหลักสูตรระดับปริญญาตรีต่อเนื่องของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2551 มีผลทำให้สถาบันอุดมศึกษาต้องยุติการรับนักศึกษาในหลักสูตรดังกล่าวตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 นั้น
ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะทบทวนหลักสูตรใดบ้าง โดยให้เหตุผลว่า กกอ.ต้องมาดูรายละเอียดว่ามีหลักสูตรใดที่เน้นสายอาชีพ และหลักสูตรใดที่เน้นวิชาการนั้น ตนเห็นว่ามติของ กกอ.ยังไม่กว้างขวางพอ เพราะเดิมผู้ที่จบหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สามารถเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีต่อเนื่องในสาขาวิชาต่างๆ ได้ทันที และหาก กกอ.จะมากำหนดสาขาวิชาให้ผู้ที่จบ ปวส.มีทางเลือกในการเรียนต่อได้น้อยลงก็จะเป็นการจำกัดสิทธิเด็กที่เคยได้รับ
“ผมเห็นว่าการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ควรเปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนและใช้ความสามารถของตนเองอย่างเต็มศักยภาพ เพราะในอดีตที่ผ่านมาก็มีผู้จบ ปวส.หลายคน เรียนต่อในหลักสูตรปริญญาตรีต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวเองเรียนในสาขาที่เน้นวิชาการได้จนสำเร็จการศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอก และประสบความสำเร็จในอาชีพจำนวนมาก อย่างไรก็ตามตนอยากให้ กกอ.เร่งทำความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว ก่อนการรับสมัครนักศึกษาในปีการศึกษา 2553 ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จะแล้วเสร็จ” ดร.วีรวัฒน์ กล่าว
นายกสมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนฯ กล่าวอีกว่า การออกประกาศดังกล่าวของ กกอ.ที่ผ่านมา ทำให้ผู้จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ที่จะเรียนต่อ ปวส.ไม่แน่ใจว่าเมื่อไปใช้ระบบเทียบโอนในระดับปริญญาตรีหลักสูตรต่อเนื่องจะใช้เวลาเพิ่มขึ้นกว่า 2 ปีเท่าเดิมหรือไม่ ซึ่งส่งผลให้ในปีการศึกษา 2552 มีผู้เรียนระดับปวส.ลดลงกว่า 50,000 คน ซึ่งทางสมาคมฯ ได้ทำหนังสือท้วงติงประกาศ กกอ.ดังกล่าวไป ยังประธานกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร ประธานกรรมาธิการการศึกษาวุฒิสภา และประธานกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาพิทักษ์สิทธิของเด็กที่เรียน ปวส. และจูงใจให้นักเรียนที่เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เรียนต่อ ปวส.ให้มากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีสัดส่วนผู้เรียนสายวิชาชีพเพิ่มขึ้น
ดร.วีรวัฒน์ วรรณศิริ นายกสมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่ที่ประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้มีมติทบทวนมติ กกอ.ที่ได้ออกประกาศเรื่องการจัดการศึกษาหลักสูตรระดับปริญญาตรีต่อเนื่องของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2551 มีผลทำให้สถาบันอุดมศึกษาต้องยุติการรับนักศึกษาในหลักสูตรดังกล่าวตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 นั้น
ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะทบทวนหลักสูตรใดบ้าง โดยให้เหตุผลว่า กกอ.ต้องมาดูรายละเอียดว่ามีหลักสูตรใดที่เน้นสายอาชีพ และหลักสูตรใดที่เน้นวิชาการนั้น ตนเห็นว่ามติของ กกอ.ยังไม่กว้างขวางพอ เพราะเดิมผู้ที่จบหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สามารถเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีต่อเนื่องในสาขาวิชาต่างๆ ได้ทันที และหาก กกอ.จะมากำหนดสาขาวิชาให้ผู้ที่จบ ปวส.มีทางเลือกในการเรียนต่อได้น้อยลงก็จะเป็นการจำกัดสิทธิเด็กที่เคยได้รับ
“ผมเห็นว่าการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ควรเปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนและใช้ความสามารถของตนเองอย่างเต็มศักยภาพ เพราะในอดีตที่ผ่านมาก็มีผู้จบ ปวส.หลายคน เรียนต่อในหลักสูตรปริญญาตรีต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวเองเรียนในสาขาที่เน้นวิชาการได้จนสำเร็จการศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอก และประสบความสำเร็จในอาชีพจำนวนมาก อย่างไรก็ตามตนอยากให้ กกอ.เร่งทำความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว ก่อนการรับสมัครนักศึกษาในปีการศึกษา 2553 ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จะแล้วเสร็จ” ดร.วีรวัฒน์ กล่าว
นายกสมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนฯ กล่าวอีกว่า การออกประกาศดังกล่าวของ กกอ.ที่ผ่านมา ทำให้ผู้จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ที่จะเรียนต่อ ปวส.ไม่แน่ใจว่าเมื่อไปใช้ระบบเทียบโอนในระดับปริญญาตรีหลักสูตรต่อเนื่องจะใช้เวลาเพิ่มขึ้นกว่า 2 ปีเท่าเดิมหรือไม่ ซึ่งส่งผลให้ในปีการศึกษา 2552 มีผู้เรียนระดับปวส.ลดลงกว่า 50,000 คน ซึ่งทางสมาคมฯ ได้ทำหนังสือท้วงติงประกาศ กกอ.ดังกล่าวไป ยังประธานกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร ประธานกรรมาธิการการศึกษาวุฒิสภา และประธานกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาพิทักษ์สิทธิของเด็กที่เรียน ปวส. และจูงใจให้นักเรียนที่เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เรียนต่อ ปวส.ให้มากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีสัดส่วนผู้เรียนสายวิชาชีพเพิ่มขึ้น
