xs
xsm
sm
md
lg

“หมอวิชัย” มั่นใจเอกสารพาดพิง “วิทยา” เป็นลายแทงสำคัญ ลั่นเดินหน้าสาวหาคนสั่งซื้อยูวีแฟน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“หมอวิชัย” ลั่นสัปดาห์หน้า เชิญ “วิทยา-หมอไพจิตร์” ให้ข้อมูลสาวหาตัวการคนสั่งซื้อยูวีแฟน พร้อมเชิญ “หมอสุชาติ-หมอศุภกิจ” ให้ข้อมูลซ้ำอีกรอบ มั่นใจเอกสารที่พาดพิงถึง รมว.สธ.เป็นหลักฐานสำคัญ ด้าน “หมอสุชาติ” ทำหนังสือชี้แจง โดดป้อง “วิทยา” ไม่ใช่คนสั่งซื้อ แต่เป็นหลักในการเขียนหนังสือราชการต้องอ้างนโยบายผู้บริหารสูงสุด เผยสัมพันธ์ แม่เลี้ยง ต.ไม่เคยชวนเป็นคณะทำงาน แค่รู้จักกันเท่านั้น

นพ.วิชัย โชควิวัฒน เลขานุการ และกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข ที่มี นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน กล่าวถึงกรณีพบหลักฐานสำคัญเป็นเอกสารทางราชการของ นพ.สุชาติ เลาบริพัตร อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค (สบภ.) ที่ระบุชัดเจนว่าการสั่งซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเลตแบบระบบปิด (ยูวีแฟน) เป็นนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่า เอกสารฉบับดังกล่าวถือเป็นหลักฐานสำคัญชิ้นแรกที่พาดพิงถึง นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งการให้จัดซื้อครุภัณฑ์ในโครงการไทยเข้มแข็ง

“คณะกรรมการจะต้องหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียด เพราะในเอกสารมีการปรากฏชื่อผู้เกี่ยวข้องถึง 4 ราย คือ คุณวิทยา นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนายการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ และ นพ.สุชาติ ถือเป็นลายแทงสำคัญที่พาดพิงตัวบุคคลชัดเจน ซึ่งต้องตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกต่อไป”นพ.วิชัย กล่าว

นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า คาดว่า ในสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ถูกพาดพิงถึงทั้ง 4 ราย มาให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการ ในประเด็นนี้ แม้ว่า นพ.ศุภกิจ และ นพ.สุชาติ ได้เคยมาให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการแล้ว 1 ครั้ง แต่ไม่มีการพูดถึงเอกสารฉบับนี้เลย คณะกรรมการจึงต้องสอบถามประเด็นนี้เพิ่มเติม เพื่อนำข้อมูลมาประกอบกัน ก่อนและตัดสินใจลงความเห็น

“เท่าที่จำความได้ คณะกรรมการไม่เคยได้รับเอกสารชิ้นนี้มาก่อน ทั้ง นพ.สุชาติ และ นพ.ศุภกิจ ไม่เคยให้เอกสารฉบับนี้ โดยคณะกรรมการได้เอกสารมาจากอดีตผู้บริหาร สธ.ท่านหนึ่ง และทั้ง นพ.สุชาติ และ นพ.ศุภกิจ ไม่เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนี้ต่อคณะกรรมการ มาก่อนด้วย จึงจำเป็นต้องเชิญมาให้ถ้อยคำอีกครั้งในสัปดาห์หน้า” นพ.วิชัย กล่าว

ด้านนพ.สุชาติ เลาบริพัตร อดีต ผอ.สบภ.กล่าวว่า วันนี้ได้ทำหนังสือชี้แจงต่อคณะกรรมการ เกี่ยวกับเอกสารที่ระบุว่า การสั่งซื้อยูวีแฟน เป็นนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพราะเป็นการเข้าใจผิด ไม่ตรงกับความเท็จจริง โดยยืนยันว่าในการทำงานของตน นายวิทยา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งซื้อยูวี แฟน แต่อย่างใด

นพ.สุชาติ กล่าวว่า แต่เนื่องจากการทำหนังสือทางราชการเรื่องจัดทำงบประมาณจะต้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้เซ็นลงนาม เพื่อเสนอเรื่องไปยังสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง จึงจำเป็นต้องอ้างอิงว่าเป็นนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หากผู้เซ็นลงนามเป็นปลัด สธ.ก็จะต้องอ้างอิงว่าเป็นนโยบายของปลัด สธ.ซึ่งเป็นวิธีการทำงานปกติอยู่แล้ว

“เรื่องที่เป็นข่าว ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดล้านเปอร์เซ็นต์ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นเพียงหลักในการเขียนหนังสือราชการเท่านั้น ส่วนใครเป็นคนสั่งการให้จัดซื้อยูวี แฟนนั้น ผมได้ให้ข้อมูลกับคณะกรรมการไปแล้ว และเรื่องเอกสารฉบับนี้ผมได้เคยให้กับคณะกรรมการฯ และได้ชี้แจงเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกต้องไม่ผิดประเด็นอีก ผมจะทำหนังสือชี้แจงให้คณะกรรมการรับทราบอีกครั้ง และไม่ทราบวัตถุประสงค์ของผู้ที่นำหนังสือฉบับนี้ไปให้คณะกรรมการว่าต้องการอะไร และได้ชี้แจงให้คระกรรมการฯ เข้าใจถูกต้องเหมือนอย่างที่ผมอธิบายหรือไม่” นพ.สุชาติ กล่าว

เมื่อทราบว่า มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่เลี้ยง ต.และเชิญชวนให้เข้าร่วมเป็นคณะทำงานจริงหรือไม่ นพ.สุชาติ กล่าวว่า ไม่ได้สนิทกันเป็นพิเศษ แต่รู้จักกันตอนที่ได้ทำงานร่วมกับ นพ.คำรณ ไชยศิริ ยืนยันว่า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน

ขณะที่ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.กล่าวว่า เหตุที่ต้องการโอนย้ายโครงการสำนักงานบริหารโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่มี นพ.คำรณ ไชยศิริ เป็นผู้อำนวยการ ให้ไปอยู่ภายใต้สำนักงานบริหารสาธารณสุขภูมิภาค (สบภ.) โดยให้เป็นเพียงโครงการพิเศษโครงการหนึ่งเหมือนกับโครงการพิเศษอื่นๆนั้น เนื่องจากต้องการให้หน่วยงานมีความกะทัดรัด สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้หน่วยงานมีการขยายตัวและมีบุคลากรจำนวนมาก

“สบภ.เดิมก็มีกองโรงพยาบาลและกองสาธารณสุข ซึ่งต่างก็มีโครงการพิเศษอยู่แล้ว ดังนั้นการจะโยนย้ายให้สำนักงานบริหารโครงการมาอยู่ใน สบภ.จึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมในการบริหารจัดการและได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเชิงระบบของรัฐบาลก็ไม่ต้องการให้มีการเพิ่มหน่วยงาน เพิ่มกำลังคน” นพ.ไพจิตร์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น