xs
xsm
sm
md
lg

อธิบดีกรมอนามัยหวั่น เปลี่ยนสูตรยาเอดส์ ผลข้างเคียงเป็นเด็กดักแด้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อธิบดีกรมอนามัย ชี้ เปลี่ยนสูตรยาเอดส์ หวั่นเกิดผลข้างเคียงกลายเป็นเด็กดักแด้ แถมเปลี่ยนสูตรยาใหม่ป้องกันเพิ่มได้อีกแค่ 1% สั่ง 4 จังหวัดนำร่องศึกษาแจกยาสูตรใหม่ ดูข้อดีข้อเสีย

นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีที่มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เรียกร้องให้มีการปรับสูตรยาในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อรายใหม่ ให้ทานยาต้านไวรัสเอสไอวีสูตรผสม 3 ตัว แทนยาสูตรเดิม เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก และป้องกันการดื้อยา ว่า กรมอนามัยได้มีการประชุมผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ ด้านโรคเอดส์ และอนามัยแม่และเด็กแล้ว ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องการปรับสูตรยาใหม่ เนื่องจากยังเป็นเรื่องใหม่มาก และยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการของประเทศไทยเองยืนยันได้ว่ายาสูตรใหม่ช่วยลดการติดเชื้อในครรภ์จากแม่สู่ลูกได้มากขึ้น และปลอดภัยต่อแม่และเด็กมากกว่ายาสูตรเดิมที่กรมอนามัยให้อยู่ในปัจจุบันอย่างไร

นพ.สมยศ กล่าวว่า ข้อมูลวิชาการที่มีอยู่ พบว่า ยาสูตรเดิมที่กรมอนามัยที่ให้อยู่ในปัจจุบัน สามารถป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้มากถึง 97.1% อยู่แล้ว หากเปลี่ยนสูตรยาใหม่ จะเพิ่มการป้องกันการติดเชื้อได้อีกเพียง 1% เท่านั้น คือป้องกันได้ 98.1% ซึ่งไม่มีความแตกต่างอะไรมากนัก แต่ในทางตรงข้ามยาชนิดใหม่จะมีผลข้างเคียงร้ายแรงกับเด็กได้ โดยเฉพาะก่อให้เกิดโรคสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม เป็นโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังร้ายแรง หรือเด็กดักแด้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้สั่งการให้ทำโครงการนำร่องเพื่อศึกษาข้อเท็จจริง ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จ.อุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ และ ศรีสะเกษ ทดลองจ่ายยาต้านไวรัสสูตร 3 ตัวให้กับสตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อรายใหม่ เพื่อขอข้อมูลมาเปรียบเทียบกับยาต้านไวรัสสูตรเดิม ว่า มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร

“กรมอนามัยไม่มีปัญหาในการเปลี่ยนสูตรยา แต่จะแก้ไขอะไรจะต้องมีข้อมูลวิชาการยืนยันได้ว่าปลอดภัยต่อชีวิตแม่ละเด็กจริงๆ เพราะหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาทางกรมอนามัยจะต้องรับผิดชอบ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดนำข้อมูลวิชาการที่อ้างอิงได้มาให้กรมอนามัยพิจารณาแต่อย่างใด มีแต่การพูดปากต่อปากเท่านั้น และในการประชุมผู้เชี่ยวชาญเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หมอสูตินรีเวช คัดค้านการเปลี่ยนสูตรยาอย่างมาก เพราะกลัวผลข้างเคียงของยา” นพ.สมยศ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น