ภาคีผู้ปกครองฯ ฟ้อง “รมว.ศธ.-ผอ.บดินทร์ 3” เรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาโดยมิชอบ พร้อมขอศาลไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราว ด้าน “จุรินทร์” ย้ำเรียกเก็บได้ตามหลักเกณฑ์ของ สพฐ. ระบุปัญหาเกิดแค่โรงเรียนยอดนิยม 200 แห่ง ไม่ใช่ 3 หมื่นแห่ง
วันนี้ (18 พ.ย.) นายคมเทพ ประภายนต์ ภาคีเครือข่ายผู้ปกครองเพื่อความเป็นธรรมทางการศึกษา พร้อมคณะได้ทางมายื่นหนังสือถึง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขอให้สั่งห้ามโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษา ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง เงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งเรียกร้องให้สั่งโรงเรียนคืนเงินค่าบำรุงการศึกษาที่เรียกเก็บในปีการศึกษา 2551 และภาคเรียนที่ 1/2552 ให้กับผู้ปกครอง เพราะเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะประกาศฉบับดังกล่าวไม่ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงไม่มีผลบังคับใช้ ตนได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้เพิกถอนประกาศดังกล่าว จึงอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
นายคมเทพกล่าวว่า ที่เดินทางวันยื่นหนังสือ เพราะขณะนี้มีโรงเรียนหลายแห่งกำลังมีหนังสือแจ้งผู้ปกครองให้ชำระเงินบำรุงการศึกษา ล่าสุดตนได้รับหนังสือแจ้งจากโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา เชิญประชุมผู้ปกครองในวันที่ 22 พ.ย.และ 29 พ.ย. เพื่อระดมทรัพยากร โดยเรียกเก็บเงินนักเรียน ม.1-ม.4 จำนวน 1,700 บาท และม.5-ม.6 จำนวน 900 บาท และตนในฐานะผู้ปกครองและกรรมการ ได้ยื่นฟ้อง ผู้อำนวยโรงเรียน และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศธ.ต่อศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พร้อมทั้งขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอความคุ้มครองชั่วคราวแล้ว
นายจุรินทร์กล่าวว่า ตนจะส่งให้ สพฐ.ตรวจสอบโดยเร็ว เพราะก่อนหน้านี้เคยพูดชัดเจนว่า หากมีการร้องเรียนไม่ว่าประเด็นใด จะต้องตรวจสอบโดยเร็ว หากผลตรวจสอบพบว่าส่อไปในทางไม่ถูกต้อง จะต้องใช้มาตรการในทางบริหารดำเนินการจัดการควบคู่กับตรวจสอบตามขั้นตอนขบวนการ ส่วนเรื่องการเก็บค่าใช้จ่าย มีประกาศ ระเบียบ กำหนดไว้ชัดเจน ทุกโรงเรียนต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ จะไปทำอะไรที่นอกเหนือระเบียบไม่ได้
นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า ให้เก็บเพิ่มภายใต้กฎระเบียบ ไม่ใช่เก็บตามอำเภอใจ และต้องเก็บโดยไม่รอนสิทธิเด็กด้อยโอกาสเรียนกับครูต่างชาติ อย่างไรก็ดี เพื่อเปิดโอกาสโรงเรียนที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาตัวเองได้
“สพฐ.เคยตรวจสอบและรายงานมา พบว่าโรงเรียนที่มีปัญหาในการเรียกเงินเพิ่ม ส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ประมาณ 200 โรง แต่อีก 3 หมื่นกว่าโรง ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งเมื่อปีการศึกษา 2552 จะมีโครงการเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ตัวเลขที่เก็บลดลงกว่าในอดีต แต่เชื่อว่าคงมีเล็ดลอดอยู่บ้าง ก็ขอให้ร้องเข้ามา ตนยินดีตรวจสอบให้ จะจัดการแก้ไขให้ถูกต้อง ถ้าผิดจะลงโทษ อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวจะให้ สพฐ.ตรวจสอบโดยเร็ว”
นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า การลงนามเป็นการปรับปรุงจากฉบับเดิม จะเก็บได้น้อยลงจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดำรงตำแหน่ง รมว.ศธ.ขอเรียนว่า ขณะนี้มี 2 ความคิดที่ไม่ตรงกันอยู่ ความคิดที่ 1 จะต้องไม่เปิดโอกาสให้โรงเรียนระดมทรัพยากรได้เลย เพื่อจะได้นำไปสู่ความรู้สึกว่า ไม่มีการเก็บเพิ่ม ส่วนความคิดที่ 2 ควรเปิดให้มีการระดมทรัพยากรได้ ซึ่งสอดคล้องกับการแสวงหาการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ที่ต้องการเข้ามาสนับสนุนทางด้านการศึกษา
“หากไม่ต้องการเห็นเรียกเก็บเพิ่มเลยก็ออกประกาศ ง่าย ใครจะบริจาคให้โรงเรียน หรือโรงเรียนจะขอบริจาคจากใครก็ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะปรารถนาดีที่ต้องการสนับสนุนด้านการศึกษา เพราะประกาศ “ห้ามเพิ่ม” อีกมุมหนึ่ง จะเป็นการสกัดกั้นการพัฒนาด้านการศึกษาหรือไม่ สมมติว่า ผู้ปกครอง องค์กรต่างๆ มีความพร้อม ที่จะช่วยบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนเงินเพื่อการศึกษา แล้วเราไปบอกว่า ห้าม เพราะผิดระเบียบ กลายเป็นว่าการพัฒนาด้านการศึกษา เกิดขึ้นไม่ได้ หรือกรณีที่โรงเรียนต้องการสร้างตึกเพิ่มเติม ขณะที่รัฐไม่มีงบให้สร้างตึก ก็ไประดมทรัพยากร เพื่อสร้างตึก หรือโรงเรียนต้องการติดแอร์ ผู้ปกครองพร้อมที่จะจ่ายเพิ่มให้ลูกเรียนในห้องแอร์ หรือจ้างครูต่างประเทศ มาสอนภาษาอังกฤษ จีน ถ้าเราไปห้ามทั้งหมด จ้างครูต่างประเทศมาสอนไม่ได้ จะต้องเรียนไปตามมาตรฐานขั้นต่ำที่รัฐจะจัดให้ได้เท่านั้น จะเป็นการสกัดกั้นการพัฒนาการศึกษา”
ด้าน นายเสน่ห์ ขาวโต รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวยืนยันว่า โรงเรียนสามารถเก็บเงินบำรุงการศึกษาเพิ่มได้ตามหลักเกณฑ์เงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษา ที่ สพฐ.ปรับปรุงใหม่ ส่วนข้อเรียกร้องที่ห้ามไม่ให้โรงเรียนเรียกเก็บเงิน พร้อมทั้งคืนเงินที่เรียกเก็บจากผู้ปกครองนั้น สพฐ.คงต้องรอคำสั่งศาล หากศาลมีคำสั่งเป็นอย่างไรก็คงต้องปฏิบัติตามนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่โรงเรียนเรียกเก็บจากนักเรียนทุกคนคนละ 1,500 บาท นายเสน่ห์ชี้แจงว่า หากเรียกเก็บลักษณะนี้ไม่ใช่การระดมทรัพยากร แต่เป็นการเก็บเพิ่มและการจะเรียกเก็บเพิ่มได้นั้น ต้องเก็บเพิ่มได้เฉพาะที่ประกาศกระทรวงกำหนดไว้เท่านั้น จะไปเรียกเก็บโดยพลการ หรือความเห็นของสถานศึกษาไม่ได้