“สมหวัง” แนะ ศธ.จำกัดผู้เรียนอาชีวะสังกัดรัฐ กระจายเด็กสู่เอกชนให้มากขึ้น ระบุไม่สอดรับนโยบายส่งเสริมเอกชนเข้ามาจัดการศึกษา เด็กเรียนแห่เรียนสถานศึกษารัฐ หวั่นเอกชนไม่กล้าลงทุน ชี้ช่วยลดภาระรับผิดชอบผลิตบุคลากร เงินลงทุนของรัฐลงเยอะ เสนอรัฐเร่งปรับโครงสร้างกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ ค่าตอบแทน พัฒนาบุคลากรอย่างจริงจัง เรียกร้องสถานศึกษาอาชีวะได้ประเมินดีมาก เปลี่ยนสถานะเป็นนิติบุคคลเพื่อความคล่องตัว
ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายมาโดยตลอดว่าจะส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษามากขึ้น แต่สถานการณ์การจัดสถานศึกษาอาชีวศึกษาของไทยในปัจจุบันพบว่า ไทยมีสถานศึกษาอาชีวศึกษาทั้งสิ้น 805 แห่ง จำแนกเป็น ของรัฐ 415 แห่ง และเอกชน 390 แห่ง ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ไม่ต่างกันมากนัก แต่เมื่อพิจารณาการกระจายของจำนวนนักศึกษาในระดับอาชีวศึกษาทั้งหมด 778,107 คน พบว่า อยู่ในสถานศึกษาของรัฐถึง 554,809 คน และอยู่ในสถานศึกษาของเอกชนเพียง 223,298 คน โดยรัฐยังคงรับผิดชอบถึง 70% ส่วนที่เหลือ 30% เป็นของเอกชน ซึ่งชี้ให้เห็นว่านโยบาย และการปฏิบัติ ยังไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นหากต้องการให้บรรลุเป้าหมาย รัฐบาลต้องมีความกล้าหาญ เข้มแข็ง และกำกับดูแลให้เป็นไปตามนโยบายให้ได้ เพื่อให้สถานศึกษาของรัฐ รับผิดชอบจัดการอาชีวศึกษาอยู่ที่ 40% และเอกชน 60%
“เพื่อเป็นการดึงดูดให้เอกชนมีความมั่นใจมาลงทุนจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษา รัฐควรมีนโยบาย และมาตรการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งหากจำนวนผู้เรียนในสถานศึกษาของรัฐยังสูงถึง 70% เอกชนคงไม่กล้ามาลงทุน ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ภายใต้การดูแลของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศธ.จะต้องมุ่งมั่นจำกัดจำนวนผู้เรียนในสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐ เพื่อกระจายผู้เรียนไปยังสถานศึกษาของเอกชนให้มากขึ้น โดยรัฐอาจทำเป็นต้นแบบเฉพาะในส่วนที่เอกชนไม่จัดหรือจัดไม่ได้เท่านั้น เพราะขืนรัฐยังคงรับผิดชอบผลิตบุคลากรด้านนี้ต่อไป จะเป็นเรื่องยากมากที่จะปรับเทคโนโลยีให้ทันต่อโลก
เนื่องจากต้องใช้เงินในการพัฒนาและลงทุนค่อนข้างมาก ขณะเดียวกัน ก็ควรเสริมความมั่นใจให้ผู้เรียนว่าหากเรียนสายอาชีพแล้วจะมีงานทำแน่นอน ทั้งนี้จากการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสอง พบว่า ผู้จบการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) เข้าสู่ตลาดแรงงานเพียง 39% ส่วนที่เหลือ 61% จะไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของการเปลี่ยนสาขาเรียน และทำให้รัฐสูญเสียกำลังคนทางด้านอาชีวศึกษาไป” รักษาการ ผอ.สมศ.กล่าว
ศ.กิตติคุณ ดร.สมหวัง กล่าวด้วยว่า สมศ.ขอเสนอให้รัฐบาลเร่งปรับโครงสร้างกรอบคุณวุฒิทางวิชาชีพและค่าตอบแทนสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาด้านอาชีวศึกษา หรือ TVQ , กำหนดนโยบายส่งเสริมความร่วมมือของสถานศึกษากับภาคการผลิต เพื่อให้เกิดการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ ไม่ใช่ในรูปแบบทวิภาคีแต่เป็นหุ้นส่วนที่แท้จริง , ด้านบุคลากร ควรกำหนดกรอบให้อาจารย์ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้านการสอนเป็นสำคัญ แยกงานธุรการออก และพัฒนาบุคลากรอย่างจริงจัง เนื่องจากปัจจุบันอาจารย์ส่วนใหญ่กว่า 73% จะมีวุฒิระดับปริญญาตรี พร้อมทั้งส่งเสริมให้สถานศึกษาของรัฐที่ได้รับผลการประเมินในระดับดีมากเปลี่ยนฐานะเป็นนิติบุคคลเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่คล่องตัวมากขึ้น และควรกำหนดมาตรการหรือสร้างความเชื่อมโยงให้มีการนำผลการประเมินในทุกรูปแบบไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา