“วิทยา” ชี้ สธ.จำเป็นต้องกำหนดรายการครุภัณฑ์ให้ รพ.เลือกซื้อ เพราะเป็นไปตามระเบียบสำนักงบฯ แถมหมอเป็นคนชงทั้งรายการครุภัณฑ์-ราคาเอง หากแพงเกินไปหมอต้องชี้แจงได้ เผยถามคนใกล้ชิดแล้วไม่มีใครรับคุยกับ บ.ซื้อรถพยาบาล กังวลถูกเชื่อมโยงเป็นประเด็นการเมือง แถมพูดความจริงครึ่งเดียว สร้างความเข้าใจผิดได้ ด้านพรรคเพื่อไทยออกมาแฉกลโกง 8 หมื่นล้านใน สธ.ใช้งบไทยเข้มแข็ง
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 1 ตุลาคม นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการจัดซื้อคุรุภัณฑ์ทางการแพทย์ภายใต้งบประมาณโครงการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (เอสพี 2) หรือโครงการไทยเข้มแข็งว่า การกำหนดรายการคุรุภัณฑ์ให้โรงพยาบาลเลือกจัดซื้อถือเป็นไปตามระเบียบของสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง โดยต้องการให้แต่ละหน่วยงานกำหนดให้ชัดเจนว่างบประมาณที่ต้องการจะนำไปใช้ในการจัดซื้อครุภัณฑ์รายการใดบ้างจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการกำหนดงบประมาณแบบเปิดกว้างมีเพียงตัวเลขที่ต้องการแต่ไม่ระบุรายการที่จะซื้อ
“การกำหนดรายการครุภัณฑ์ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลทั่วไป ได้มีการเชิญแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันหารือและกำหนดรายการที่จะให้มีการเลือกซื้อ แต่เมื่อมีแพทย์ออกมาระบุว่ารายการที่กำหนดไม่ใช่สิ่งที่โรงพยาบาลต้องการ ก็เป็นเรื่องที่แพทย์และแพทย์ต้องหารือกัน ส่วนประเด็นที่มีการกำหนดราคาแพงเกินไปเป็นหน้าที่ของ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ ในฐานะทีมทำงานต้องชี้แจง ซึ่งตนไม่ได้ปัดความรับผิดชอบแต่ฝ่ายการเมืองไม่มีความรู้เรื่องเครื่องมือแพทย์แม้แต่รายการเดียว
นายวิทยากล่าวถึงกรณีที่ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทยชนบท ระบุว่ามีนักการเมืองไปหารือกับศูนย์รถยนต์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเกี่ยวกับการจัดซื้อรถพยาบาลประมาณ 1 พันคันจากงบฯ เอสพี 2 ว่า ได้สอบถามนักการเมืองในส่วนที่อยู่ใกล้ชิดตนเอง ทั้งเลขานุการรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีแล้ว ยังไม่มีใครยอมรับแม้แต่คนเดียวว่าเป็นผู้ที่ไปหารือกับศูนย์รถยนต์ตามคำกล่าวอ้าง
“รู้สึกกังวลที่มีการนำเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างในส่วนของ สธ.ไปเชื่อมโยงเป็นประเด็นทางการเมือง ทั้งที่งบประมาณดังกล่าวยังไม่มีการอนุมัติและยังไม่มีผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา จึงอยากให้ผู้ที่ออกมาให้ข้อมูลกับสาธารณะ พูดความจริงทั้งหมดไม่ใช่พูดความจริงแค่ครึ่งเดียวเพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน และอยากให้รับผิดชอบในสิ่งที่พูด” นายวิทยากล่าว
เพื่อไทยแฉกลโกงไทยเข้มแข็ง 8 หมื่นล้าน
ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. ประธานสำนักงานปราบโกงพรรคเพื่อไทย แถลงถึงแผนปฏิบัติการโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลที่พบเงื่อนงำส่อทุจริตว่า พรรคเพื่อไทยได้ตรวจพบความไม่ชอบมาพากลในการใช้งบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขที่มีความพยายามยกระดับสถานีอนามัยขึ้นเป็นโรงพยาบาลตำบล โดยทำการล็อคสเปกจัดซื้อคุรุภัณฑ์ ภายใต้กรอบงบประมาณ 8 หมื่นล้านบาทเศษ สำหรับการยกระดับสถานีอนามัยดังกล่าวข้อเท็จจริงแล้วไม่สามารถทำให้กลายเป็นโรงพยาบาลตำบลได้ ด้วยเหตุผลของเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ ความพร้อมด้านต่างๆ กระบวนการที่ส่อทุจริตเริ่มชัดเจน
เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่มีการอนุมัติเงิน 8 หมื่นล้านบาทเศษ แบ่งเป็นงบก่อสร้าง 6 หมื่นกว่าล้าน มีงบอีกส่วนหนึ่งกันไว้เพื่อยกระดับสถานีอนามัยดังกล่าว พอถึงวันที่ 21 ส.ค.ได้มีหนังสือด่วนที่สุด เรื่อง สำรวจความต้องการของสถานีอนามัย 2151 แห่ง งบประมาณ 1,350,000 บาท ต่อแห่ง และขอให้ส่งกลับในวันที่ 24 ส.ค. โดยงบจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นงบก่อสร้าง 5 แสนบาท และงบจัดหาคุรุภัณฑ์อีกส่วนหนึ่ง ที่น่าสังเกตว่ามีการกำหนดไว้เรียบร้อย 20 รายการ และต้องระบุความต้องการเฉพาะที่กำหนดไว้ ห้ามมีนอกเหนือจากนี้ และถ้าหากสถานีอนามัยส่งข้อมูลกลับไปล่าช้า ส่วนกลางจะกรอกข้อมูลให้แทน
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีการเตรียมงบประมาณไว้นานแล้ว มีการกำหนดรายละเอียดคุรุภัณฑ์ไว้ตั้งแต่เดือน เม.ย. กระบวนการที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมเท่านั้น เช่น คุรุภัณฑ์ อัลตราซาวนด์ ที่หากไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางไม่สามารถใช้ได้ ไม่สามารถวินิจฉัยโรค เพราะถ้าวินิจฉัยผิดอาจถึงตายได้ สุดท้ายคุรุภัณฑ์นี้อาจเป็นเพียงอนุสาวรีย์คล้ายกับสินค้าในโครงการชุมชนพอเพียง
อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่มีการทักท้วงก็มีปฏิกิริยาจากนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข มีการกำหนดคุรุภัณฑ์ในภายหลังเพิ่มมาอีก 26 รายการ รวมเป็น 46 รายการ ในเดือน ก.ย. แต่ผลสุดท้ายก็ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก เพราะเมื่อผู้ใช้งานจริงแจ้งความต้องการให้กระทรวงสาธารณสุข แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ ของเดิมก็ยังใช้อยู่ ของใหม่ก็ไม่ตรงใจผู้ใช้อีก พฤติการณ์เหล่านี้จึงทำให้เชื่อได้ว่าอาจมีการทุจริต แม้จะยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง ฝ่ายค้านต้องออกมาท้วงติงไว้ก่อน เพราะมันทำให้เกิดผลเสียต่อประชาชนโดยตรง และบางกรณีอาจทำให้ประชาชนถึงตายได้ โครงการนี้กระบวนการหลายอย่างไม่ต่างจากโครงการชุมชุนพอเพียง และน่าสังเกตอีกอย่างว่างบฯ โครงการไทยเข้มแข็งถือเป็นเงินนอกงบฯ อาจมีการยกเลิกระเบียบบางเรื่องได้ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตรวจสอบได้ยาก
“มีข่าวว่าบางคนในกระทรวงสาธารณสุขได้ไปพบกับเจ้าของผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ถ้ามีการจัดซื้อจัดจ้าง เห็นรายชื่อบริษัทจะเชื่อมโยงได้ทันที วันนี้การทุจริตยังไม่เกิดก็ต้องดักคอไว้ก่อน” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว