xs
xsm
sm
md
lg

ความจริงเรื่อง “เด็กไร้สัญชาติ” 2 แสนคนบนผืนแผ่นดินไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บรรยากาศการเรียนการสอนภาษาไทยให้กับเด็กพม่า
รายงานพิเศษโดย.....สุกัญญา แสงงาม


จากผลพวงของหลายปัจจัย ทั้งปัญหาความยากจน ปัญหาเศรษฐกิจ ตลอดรวมถึงปัญหาสงคราม ทำให้ในปัจจุบันผืนแผ่นดินไทยเต็มไปด้วยบรรดาผู้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก

แน่นอน นั่นเป็นปัญหาที่รัฐบาลไทยจำต้องแบกรับเอาไว้

ทั้งนี้ ในจำนวนหลายๆ ปัญหาเกี่ยวกับผู้อพยพที่ถาโถมเข้ามานั้น ปัญหา “เด็กไร้สัญชาติ” กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ขยายวงกว้างออกไปทุกที ทั้งในเรื่องของจำนวนที่มีมากกว่า 200,000 คน และภาระในเรื่องของการจัดการศึกษาที่ต้องใช้ทรัพยากรเข้าไปรองรับเป็นจำนวนมาก

-1-

“ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีเด็กไร้สัญชาติอยู่ในประเทศไทยกว่า 2 แสนคน ในจำนวนนี้พ่อแม่เข้ามาถูกต้องตามกฎหมายประมาณ 6 หมื่นคน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะได้รับการศึกษาเหมือนเด็กไทยทุกประการตามพันธกรณีในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ส่วนที่เหลือแยกกระจายออกไปในอีก 2 จุด โดยเด็กอีกกว่า 4 หมื่นคนเรียนอยู่ในศูนย์พักพิง ขณะที่อีกนับแสนคนเรียนในศูนย์การเรียนขององค์กรต่างๆ กว่า 100 ศูนย์ทั่วประเทศ
 
“แค่ตากเพียงจังหวัดเดียว มีศูนย์การเรียนรู้มากถึง 61 แห่ง และยังมีกระแสมาว่ามีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขืนให้ตั้งเพิ่มขึ้นแล้วจัดการเรียนการสอนหลากหลายมาตรฐาน ในอนาคตอาจสร้างปัญหาที่มีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงประเทศได้”
 
“ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องการให้มีการจัดการเรียนการสอนให้มีมาตรฐาน ซึ่งรวมถึงคุณภาพครูผู้สอน หลักสูตร ซึ่งขณะนี้ ศธ.ได้จัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการศึกษาให้แก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมเสนอ รมว.ศธ.ลงนามเพื่อเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้” นายชัยวุฒิให้ข้อมูล 
 
ด้านคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน อธิบายเพิ่มเติมว่า ศูนย์การเรียนส่วนใหญ่จัดการเรียนการสอนด้วยภาษาท้องถิ่น ที่ไม่ใช่ภาษาไทย เช่น ภาษาพม่า กระเหรี่ยง และภาษาอังกฤษโดยครูต่างชาติ เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะเด็กเหล่านี้อยู่ในไทยแต่ไม่รู้ภาษาไทยเลย จึงเห็นควรจัดหลักสูตรเรียนการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยให้แก่เด็กเหล่านี้ และ ขณะนี้ได้มีการจัดครูเข้าไปสอนภาษาไทยในศูนย์การเรียนรู้ รวมทั้งให้ศูนย์การเรียนรู้ส่งเด็กมาเรียนภาษาไทยกับโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
 
อ่านภาษาไทยไม่ออก
-2-

“บุญส่ง นารีภาพเจริญ” หรือ”ครูเปา” แห่งศูนย์การเรียนเพื่อเด็กด้อยโอกาส ซาทุเหล่ อ.แม่สอด จ.ตาก เล่าว่า เป็นครูสอนวิชาภาษาไทยมาประมาณ 1 ปี ช่วงที่เข้ามาแรกๆ พบปัญหามากมายเนื่องจากเด็กไม่ค่อยรับภาษาไทย มีอาการต่อต้าน จึงต้องอาศัยกิจกรรม สื่อการเรียนการสอน มากระตุ้นความสนใจของเด็ก แล้วพยายามบอกเด็กว่าภาษาไทยมีความจำเป็น ต้องใช้พูดคุยกับคนไทย หลักสูตรการเรียนการสอนภาษาไทยจะเน้นเพื่อการสื่อสารเป็นหลักเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาศูนย์จัดการเรียนการสอนภาษาพม่า ภาษาอังกฤษ ให้แก่เด็กในศูนย์ประมาณ 700 คน 

ทั้งนี้ ชุมชนล้อมรอบซาทุเหล่ เป็นชาวพม่าที่พ่อแม่เข้ามาขายแรงงานในไทย ส่วนลูกๆ เนื่องจากพ่อแม่ไม่ไปแจ้งเกิดกับทางการพม่า ส่งผลให้กลายเป็นเด็กไร้สัญชาติ จะไปเข้าเรียนโรงเรียนที่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นชาติไหน พ่อแม่จึงส่งมาเรียนกับศูนย์ฯ ที่มีองค์กรเอกชนสนับสนุน ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

“เด็กจะเรียนๆ หยุดๆ เพราะต้องไปช่วยพ่อแม่ทำงาน ทำให้การเรียนไม่ค่อยต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เด็กจะพูดได้ 2 ภาษา พม่า กับอังกฤษ แต่ตอนนี้จะเพิ่มภาษาไทยอีก 1 ภาษา สำหรับเด็กที่เรียนจบเกรด 10 จะได้ใบเกียรติบัตรใช้เป็นหลักฐานในการเข้าศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนภาษาไทยไม่ค่อยก้าวหน้า เนื่องจากขาดสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอน ซึ่งตอนนี้อยากได้หนังสืออ่านเล่น การ์ตูน นิทานเพิ่มเติม” ครูเปาฉายภาพ

ด้าน “สุเทพ ธรรมจักร”  ผู้อำนวยการ ร.ร.บ้านท่าอาจ กล่าวถึงหลักสูตรภาษาไทยเพิ่มเติมว่า ในปี 2552 ได้ทำข้อตกลงกับศูนย์การศึกษา 5 ศูนย์ คือ ศูนย์เซทรานา ศูนย์หนองบัวแดง ศูนย์พะยาวดาว ศูนย์แควเคอบอง และศูนย์นิวเดย์ เพื่อจัดการศึกษาร่วมกัน โดยนักเรียนจากศูนย์ดังกล่าวจะผลัดกันมาเรียนภาษาไทยสัปดาห์ละ 1 วัน  เพราะหลักสูตรการเรียนการสอนของแต่ละศูนย์ไม่มีการสอนภาษาไทย แล้วไม่มีใครรู้ว่าเขาสอนอะไรให้เด็กบ้าง พอเปิดให้เด็กมาเรียนกับเรา แล้วแลกเปลี่ยนครูผู้สอน มีการพูดคุยกับผู้สอน จึงรู้ว่าเด็กเรียนรู้อะไรบ้างจากศูนย์ นอกจากนี้เด็กมาเรียนกับเรายังนำสามารถวุฒิไปศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น

ด.ญ.วัลลภา หน่อเชื้อ หรือ ชมพู่  (ชาวพม่า) นักเรียน ชั้น ป.5 เล่าให้ฟังว่า ข้ามเรือไปกลับพม่าเพื่อมาเรียนที่ร.ร.บ้านท่าอาจทุกวัน เพราะผูกพันกับคนไทยมาตั้งแต่เด็ก เกิดฝั่งไทยและโตฝั่งไทย แต่เพิ่งย้ายกลับไปฝั่งพม่าเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้การเลือกเรียนที่นี่จะได้เรียน 3 ภาษา ไทย พม่า และอังกฤษ ถ้าย้ายไปเรียนที่พม่าจะเรียนภาษาเดียวคือพม่า อีกอย่างค่าใช้จ่ายในการเรียนกว่า แสนจั๊ดต่อปี เรียนที่ไทยไม่เสียค่าใช้จ่าย จะได้สิทธิเหมือนเด็กไทยทุกอย่าง
 
“ตั้งใจจะเรียนต่อในไทยไปจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วเลือกเรียนแพทย์ที่ไทย และเป็นหมอรักษาคนไทยและพม่าในไทย จะมีรายได้สูงกว่าเป็นหมอที่พม่า” ชมพู่  กล่าว
 
กำลังโหลดความคิดเห็น