กรมควบคุมโรคสั่งด่านทั่วประเทศไล่จับหนู ตรวจวัดดัชนีหมัด ป้องกันหนูนำเข้าเชื้อ “กาฬโรคปอด” จากจีน เตรียมชง “วิทยา” ลงนามใช้มาตรการกักคนที่เดินทางจากพื้นที่ระบาด หากองค์การอนามัยโรคประกาศเป็นโรคติดต่อร้ายแรงระหว่างประเทศ ชี้ระวังสัตว์ฟันแทะตัวพาหะ หากพบหนูตายมากแสดงว่าโรคเริ่มระบาด วิธีป้องกันที่ดีที่สุดให้ประชาชนทำความสะอาดบ้านไม่ให้รกรุงรัง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 สิงหาคม ที่กรมควบคุมโรค นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากกรณีที่มีการระบาดของโรคกาฬโรคปอดในประเทศจีน ซึ่งจีนได้สั่งปิด เมืองจื่อเคอทันและพื้นที่โดยรอบ ในมณฑลชิงไห่ ทางตะวันตกของจีน เนื่องจากพบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน และป่วยอีกเป็นจำนวนมากนั้น สำหรับมาตรการสกัดกั้นโรคกาฬโรคปอดไม่ให้เข้าสู่ประเทศไทย ได้สั่งการให้ด่านควบคุมโรคทั่วประเทศ 64 ด่านทั้งด่านทางบก ทางเรือและด่านในสนามบินสุวรรณภูมิไล่จับหนูบริเวณใกล้เคียง เพื่อนำมาตรวจหาดัชนีหมัด โดยหากพบว่าค่าเฉลี่ยหนู 1 ตัวพบหมัดเกิน 1 ตัว ถือว่ามีความเสี่ยงสูง แต่จากตรวจหาดัชนีหมัดในด่านต่างๆ เมื่อปี 2551 มีเพียง 0.3-0.5 ตัวเท่านั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่ด่านควบคุมโรคสามารถดูแลควบคุมได้
นพ.ม.ล.สมชาย กล่าวต่อว่า ขณะนี้เข้าใจว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคดังกล่าวแล้ว หากองค์การอนามัยโลกประกาศให้โรคนี้เป็นโรคติดต่อร้ายแรงระหว่างประเทศ เนื่องจากโรคกาฬโรคปอดจัดอยู่ในโรคติดต่อร้ายแรง เช่นเดียวกับโรคอหิวาตกโรค โรคไข้ทรพิษ โรคไข้เหลือง และซาร์ส ตนจะเสนอให้นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ลงนามในประกาศสธ.ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2523 ซึ่งจะส่งผลให้สามารถกักกันตัวบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองที่มีการแพร่ระบาดของโรคตามที่องค์การอนามัยโลกประกาศได้
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า กาฬโรค เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีลักษณะเป็นแท่ง ชื่อเยอซิเนีย เพสทิส (Yersinia pestis) การติดต่อเกิดได้จากการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ไอหรือจามหรือจากการที่หมัดไปกัดสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระแต กระต่าย แมวและสุนัขที่มีเชื้อแล้วมากัดคน โดยหมัดมีขนาดไม่กี่มิลลิเมตรแต่สามารถกระโดดได้ไกลถึง 1 เมตร หรือ 200 เท่าของขนาดตัว
“เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้จะมีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1-7 วัน จากนั้นจะเริ่มแสดงอาการด้วยการมีไข้ ตามด้วยต่อมน้ำเหลืองโตและแตก เชื้อกระจายเข้าสู่กระแสเลือด โดยเฉพาะจะไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดบวมและเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายใน 48 ชั่วโมง การรักษาสามารถใช้ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่แล้วในโรงพยาบาลต่างๆรักษาได้ หากเทียบกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 กาฬโรคจะติดต่อยากกว่าแต่มีความรุนแรงของโรคสูงกว่ามาก อัตราป่วยตายสูงถึง 30-60%”นพ.โอภาสกล่าว
นพ.ภาสกร อัศวเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กล่าวว่า ในประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคกาฬโรคครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2495 ที่ จ.นครสวรรค์ โดยพบผู้ป่วยประมาณ 8 คน แต่เป็นกาฬโรคต่อมน้ำเหลืองไม่ใช่กาฬโรคปอดที่พบในประเทศจีน ส่วนในประเทศใกล้เคียงมีรายงานพบผู้ป่วยที่ประเทศจีนและชายแดนประเทศอินเดียและบังคลาเทศเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา จากนั้นไม่พบรายงานผู้ป่วยจากโรคนี้อีก การพบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ในประเทศจีนอีกครั้งจึงถือว่ากาฬโรคเป็นโรคอุบัติซ้ำ
นพ.ภาสกร กล่าวต่อว่า การที่จีนประกาศให้พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคกาฬโรคปอดเป็นเขตโรคติดต่อร้ายแรง ทำให้มีการกักคนไม่ให้เข้าและออกพื้นที่ดังกล่าวอยู่แล้ว ประเทศไทยจึงไม่จำเป็นต้องประกาศเตือนไม่ให้มีการเดินทางไปยังพื้นที่มณฑลชิงไห่ เช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องกักบริเวณผู้ที่เดินทางมาจากเมืองดังกล่าวในรอบ 7 วันที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นระยะการฟักตัวของโรค เนื่องจากโรคนี้จะติดต่อจากคนสู่คนในระยะที่เชื้อลงปอดจนทำให้เกิดการไอ ซึ่งโดยปกติผู้ป่วยที่เชื้อลงปอดจะมีอาการรุนแรง เกิดภาวะปอดบวมต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่มีแรงออกมาเดินตามสถานที่สาธารณะได้เหมือนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่สามารถแพร่เชื้อได้แม้อาการไม่รุนแรง
ด้าน นพ.สมชัย นิจพานิช รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นโรคติดต่อต้องแจ้งความแต่กาฬโรคมีความรุนแรงสูง จัดเป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงต้องแจ้งความภายใน 24 ชั่วโมง วิธีการสังเกตหากเริ่มมีการระบาดของโรคนี้ในพื้นที่ คือ มีหนูตายจำนวนมาก การป้องกันที่ดีที่สุด ประชาชนต้องดูแลสุขาภิบาลในบ้านให้สะอาดเรียบร้อย ไม่ให้รกรุงรัง จนกลายเป็นที่อยู่อาศัยของหนูที่เป็นพาหะที่สำคัญของโรคนี้และโรคอื่นๆ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 สิงหาคม ที่กรมควบคุมโรค นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากกรณีที่มีการระบาดของโรคกาฬโรคปอดในประเทศจีน ซึ่งจีนได้สั่งปิด เมืองจื่อเคอทันและพื้นที่โดยรอบ ในมณฑลชิงไห่ ทางตะวันตกของจีน เนื่องจากพบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน และป่วยอีกเป็นจำนวนมากนั้น สำหรับมาตรการสกัดกั้นโรคกาฬโรคปอดไม่ให้เข้าสู่ประเทศไทย ได้สั่งการให้ด่านควบคุมโรคทั่วประเทศ 64 ด่านทั้งด่านทางบก ทางเรือและด่านในสนามบินสุวรรณภูมิไล่จับหนูบริเวณใกล้เคียง เพื่อนำมาตรวจหาดัชนีหมัด โดยหากพบว่าค่าเฉลี่ยหนู 1 ตัวพบหมัดเกิน 1 ตัว ถือว่ามีความเสี่ยงสูง แต่จากตรวจหาดัชนีหมัดในด่านต่างๆ เมื่อปี 2551 มีเพียง 0.3-0.5 ตัวเท่านั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่ด่านควบคุมโรคสามารถดูแลควบคุมได้
นพ.ม.ล.สมชาย กล่าวต่อว่า ขณะนี้เข้าใจว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคดังกล่าวแล้ว หากองค์การอนามัยโลกประกาศให้โรคนี้เป็นโรคติดต่อร้ายแรงระหว่างประเทศ เนื่องจากโรคกาฬโรคปอดจัดอยู่ในโรคติดต่อร้ายแรง เช่นเดียวกับโรคอหิวาตกโรค โรคไข้ทรพิษ โรคไข้เหลือง และซาร์ส ตนจะเสนอให้นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ลงนามในประกาศสธ.ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2523 ซึ่งจะส่งผลให้สามารถกักกันตัวบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองที่มีการแพร่ระบาดของโรคตามที่องค์การอนามัยโลกประกาศได้
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า กาฬโรค เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีลักษณะเป็นแท่ง ชื่อเยอซิเนีย เพสทิส (Yersinia pestis) การติดต่อเกิดได้จากการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ไอหรือจามหรือจากการที่หมัดไปกัดสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระแต กระต่าย แมวและสุนัขที่มีเชื้อแล้วมากัดคน โดยหมัดมีขนาดไม่กี่มิลลิเมตรแต่สามารถกระโดดได้ไกลถึง 1 เมตร หรือ 200 เท่าของขนาดตัว
“เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้จะมีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1-7 วัน จากนั้นจะเริ่มแสดงอาการด้วยการมีไข้ ตามด้วยต่อมน้ำเหลืองโตและแตก เชื้อกระจายเข้าสู่กระแสเลือด โดยเฉพาะจะไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดบวมและเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายใน 48 ชั่วโมง การรักษาสามารถใช้ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่แล้วในโรงพยาบาลต่างๆรักษาได้ หากเทียบกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 กาฬโรคจะติดต่อยากกว่าแต่มีความรุนแรงของโรคสูงกว่ามาก อัตราป่วยตายสูงถึง 30-60%”นพ.โอภาสกล่าว
นพ.ภาสกร อัศวเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กล่าวว่า ในประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคกาฬโรคครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2495 ที่ จ.นครสวรรค์ โดยพบผู้ป่วยประมาณ 8 คน แต่เป็นกาฬโรคต่อมน้ำเหลืองไม่ใช่กาฬโรคปอดที่พบในประเทศจีน ส่วนในประเทศใกล้เคียงมีรายงานพบผู้ป่วยที่ประเทศจีนและชายแดนประเทศอินเดียและบังคลาเทศเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา จากนั้นไม่พบรายงานผู้ป่วยจากโรคนี้อีก การพบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ในประเทศจีนอีกครั้งจึงถือว่ากาฬโรคเป็นโรคอุบัติซ้ำ
นพ.ภาสกร กล่าวต่อว่า การที่จีนประกาศให้พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคกาฬโรคปอดเป็นเขตโรคติดต่อร้ายแรง ทำให้มีการกักคนไม่ให้เข้าและออกพื้นที่ดังกล่าวอยู่แล้ว ประเทศไทยจึงไม่จำเป็นต้องประกาศเตือนไม่ให้มีการเดินทางไปยังพื้นที่มณฑลชิงไห่ เช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องกักบริเวณผู้ที่เดินทางมาจากเมืองดังกล่าวในรอบ 7 วันที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นระยะการฟักตัวของโรค เนื่องจากโรคนี้จะติดต่อจากคนสู่คนในระยะที่เชื้อลงปอดจนทำให้เกิดการไอ ซึ่งโดยปกติผู้ป่วยที่เชื้อลงปอดจะมีอาการรุนแรง เกิดภาวะปอดบวมต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่มีแรงออกมาเดินตามสถานที่สาธารณะได้เหมือนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่สามารถแพร่เชื้อได้แม้อาการไม่รุนแรง
ด้าน นพ.สมชัย นิจพานิช รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นโรคติดต่อต้องแจ้งความแต่กาฬโรคมีความรุนแรงสูง จัดเป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงต้องแจ้งความภายใน 24 ชั่วโมง วิธีการสังเกตหากเริ่มมีการระบาดของโรคนี้ในพื้นที่ คือ มีหนูตายจำนวนมาก การป้องกันที่ดีที่สุด ประชาชนต้องดูแลสุขาภิบาลในบ้านให้สะอาดเรียบร้อย ไม่ให้รกรุงรัง จนกลายเป็นที่อยู่อาศัยของหนูที่เป็นพาหะที่สำคัญของโรคนี้และโรคอื่นๆ