แพทย์ชี้กาฬโรคปอดรุนแรงกว่าหวัดใหญ่ 2009 อัตราการตายกาฬโรคปอดสูง 50-60% แต่ไม่ต้องกังวลกาฬโรคปอดไม่ระบาดมาถึงไทยแน่ “วิทยา” สั่งปลัด สธ.คิดตามสถานการณ์ ยันไม่พบในไทยตั้งแต่ ปี 2495
นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงโรคกาฬโรคปอดที่มีการระบาดในเมืองชิงไห่ ประเทศจีน ซึ่งขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 รายว่า ได้มอบหมายให้นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดสธ.ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ของกาฬโรคปอดอย่างใกล้ชิด สำหรับในประเทศไทยไม่มีรายงานการระบาดมาตั้งแต่ ปี 2495 โรคดังกล่าวเป็นการติดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นคนละอย่างกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
ศ.นพ.อมร ลีลารัศมี หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า กาฬโรคปอดเป็นโรคที่มีหนูเป็นพาหะของโรค เมื่อติดเชื้อจะมีผลทำให้ต่อมน้ำเหลืองโต ใช้เวลาฟักตัว 2-3 วัน หากอาการติดเชื้อมีความรุนแรงมากเชื้อลงปอด ทำให้ปอดบวม จะเกิดอาการไข้สูง ไอเป็นเลือด หอบเด่นชัดฉับพลัน ไม่เคยมีอาการไข้น้ำมูกไหล เจ็บคอมาก่อน สามารถติดต่อกันได้ด้วยการไอหรือจาม ถ้าไม่รับการรักษาทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ภายใน 3-5 วัน มีอัตราการเสียชีวิต 50-60%
“กาฬโรคปอดถือว่ามีความรุนแรงมากกว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่สามารถรักษาได้ด้วยยาฆ่าเชื้อและยังไม่พบการดื้อยา จึงขึ้นอยู่ที่ว่าจะสามารถให้ยาได้เร็วก่อนที่เนื้อปอดจะถูกทำลายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องกังวลเชื่อว่า โรคดังกล่าวจะไม่สามารถเข้ามาในประเทศไทยได้ เพราะผู้ป่วยที่มีอาการป่วยรุนแรงจะอ่อนเพลียไม่สามารถเดินทางได้ ต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล ส่วนบุคคลใกล้ชิดสามารถนำมากักตัว 7 วัน ให้ยากวาดล้างโรค ก็สามารถหยุดการระบาดได้”ศ.นพ.อมรกล่าว
ศ.นพ.อมร กล่าวด้วยว่า กาฬโรคจะแพร่เชื้อได้ก็ต่อเมื่อมีอาการป่วยแล้ว ซึ่งจะต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ถือว่าแพร่ระบาดได้ยาก ขณะที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สามารถแพร่เชื้อได้ทั้งๆ ที่ยังไม่มีอาการ ซึ่งโรคดังกล่าวเคยเกิดในเมืองไทยเมื่อนานมาแล้ว เนื่องจากระบบสาธารณสุขไม่ดี ไม่มีการระวังตัว ซึ่งสาเหตุที่เกิดการระบาดขึ้นอาจเนื่องจากผลกระทบจากสภาวะโรคร้อนทำให้โรคระบาดเก่ากลับมาระบาดซ้ำได้
