“วิทยา” สั่ง “หมอปราชญ์” ตรวจสอบจังหวัดราชบุรีที่มีอัตราผู้ป่วยหวัดใหญ่ตายสูง สาเหตุเสียชีวิตสมเหตุสมผลหรือไม่ ห่วงเจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย ชี้ จุดบกพร่องผู้ป่วยได้รับยาช้า หลุดระบบการรักษา
วันที่ 23 กรกฎาคม ที่อิมแพค เมืองทองธานี นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสุขภาวะดี วิถีไทย ว่า ขณะนี้มีจังหวัดที่มีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สูง เช่น จ.ราชบุรี ตนได้แจ้งให้นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัด สธ.ติดตามจากผู้ตรวจราชการและนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ว่า มีการปล่อยปละละเลยในการรักษาผู้ป่วยหรือไม่ โดยให้พิจารณาผู้ที่เสียชีวิตว่าเกิดจากเหตุผลอันควรหรือไม่ อาทิ มีโรคประตัว หรือเป็นเพราะการเข้าถึงยาและการรักษาพยาบาลช้า
เอาเรื่องหากผู้ป่วยได้รับยาช้า-หลุดระบบการรักษา
“หากเป็นเพราะเข้าถึงยาช้า ต้องตรวจสอบต่อไปว่าเจ้าหน้าที่ระดับภูมิภาคทำอะไรอยู่ มีการกวดขันร้านขายยาและคลินิกที่ประชาชนไปซื้อยากินเอง จนทำให้ประชาชนหลุดจากระบบการรักษาของโรงพยาบาลหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา กระทรวงมีการเน้นย้ำตลอดเวลาว่าหากผู้ป่วยมีอาการไข้ 2 วัน ไม่ลดแพทย์ต้องให้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ทันที เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหากมีอาการไข้ต้องให้ยาทันที” นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีหญิงตั้งครรภ์ สธ.ได้ส่งสัญญาณเตือนให้ทราบตั้งแต่ต้นของการแพร่ระบาดว่ากลุ่มหญิงตั้งครรภ์เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009แล้วมีอาการรุนแรง และให้แพทย์และพยาบาลดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นพิเศษ เช่นเดียวกับผู้ป่วยติดเชื้อที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ
“ตลอด 3 เดือนที่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังมีจุดบกพร่องของระบบการเฝ้าระวังและรักษาต้องมีการปรับปรุงในส่วนของการเข้าถึงยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดสูง จะต้องมีการสำรองยาต้านไวรัสในโรงพยาบาลต่างๆ ในระดับเดิมเสมอ หากมีการใช้ไปจำนวนเท่าไหร่ก็จะต้องเติมให้เต็มในจำนวนเท่าเดิม เพื่อไม่ให้ยาพร่องจากคลังสำรองยาของโรงพยาบาลเป็นการเตรียมรับมือหากมีผู้ป่วยในพื้นที่พร้อมกันเป็นจำนวนมากจะได้ไม่มีปัญหา” นายวิทยา กล่าว
เซ็งพวกก่อกวน สธ.พูดสวนทางความจริง
นายวิทยา กล่าวอีกว่า กรณีที่มีบางกลุ่ม หรือบางฝ่ายออกมาก่อกวนการทำงานของกระทรวง เป็นการพูดสวนทางกับความจริง เพราะตัวเลขที่มีการรายงานคนที่ติดตามอย่างใกล้ชิดจะรู้ว่ากระทรวงไม่เคยโกหก ไม่มีการปิดบังตัวเลข การอกมาเคลื่อนไหวในลักษณะนี้เป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อโยงให้เป็นประเด็นทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เชื่อว่า ประชาชนมีความรู้และเข้าใจในสภาพความเป็นไปของโรคที่ถูกต้องมากขึ้นว่าโรคนี้ประชากรทั่วโลกไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาก่อน การจะปลอดจากโรคได้ต้องป้องกันตนเอง
อภ.เริ่มทดลองเพาะเชื้อเป็นในไข่สะอาด
ภก.สมชาย ศรีชัยนาค รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ขณะนี้กระบวนการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีการแบ่งเชื้อไวรัสเป็นมาทดลองฉีดในไข่สะอาด (clean egg) เพื่อหาเงื่อนไขที่เหมาะสมในการนำเชื้อไปเพาะเลี้ยงในไข่ไก่ ซึ่งจะศึกษาการเจริญเติบโต ปริมาณเชื้อที่เหมาะสมในการเพาะเชื้อ ความเข้มข้นของตัวเชื้อ เป็นต้น โดยมีการฉีดเพาะเชื้อในไข่ไก่สะอาด ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.) พบว่า มีการเจริญเติบโตดี แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วัน จึงจะทราบผลก่อนจะนำเชื้อไวรัสเป็นมาเลี้ยงในไข่ปราศจากเชื้อ หรือ Specific Pathogen Free (SPF) ซึ่งเป็นการเพาะเชื้อต้นแบบขณะนี้ถือว่าได้ดำเนินการเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้
“การนำเชื้อเป็นมาเลี้ยงในไข่ไก่ปราศจากเชื้อนั้น ขณะนี้ต้องรอให้ไข่ไก่มีอายุตามที่กำหนดโดยได้นำไข่เก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิห้อง จะใช้เวลาในการฟักตัว 9-11 วัน โดยไข่ปราศจากเชื้อมาจากประเทศเยอรมนีตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม ไข่จึงจะมีความพร้อมและนำเชื้อเป็นมาเลี้ยงในไข่ได้” ภก.สมชาย กล่าว
ภก.สมชาย กล่าวต่อว่า ส่วนอาสาสมัครทดลองวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขณะนี้ทราบว่ามีผู้ที่มีความสนใจเป็นอาสาสมัครบ้างแล้ว แต่ในส่วนของรายละเอียดนั้น ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดลและคณะทำงานเป็นผู้รับผิดชอบ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้โดยตรงที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล