สธ.หยุดรายงานตัวเลขผู้ป่วยหวัด 2009 เผยไม่ใช่โรคร้ายแรง เพราะไวรัสหวัดมีการเปลี่ยนแปลงทุกปีอยู่แล้ว เตือน 5 เดือน คนไทยป่วยไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลแล้วกว่า 5 พันราย ระบุจะสุ่มตรวจเชื้อเฉพาะที่จำเป็น วอนประชาชนใส่ใจป้องกันหวัดใหญ่ทั้งพันธุ์เก่า-ใหม่ เพราะอาการและความความรุนแรงระดับเดียวกัน ชี้ปิดโรงเรียนไม่ช่วยอะไร ควรให้นักเรียนป่วยหยุดเรียนมากกว่า
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 15 มิ.ย.ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุม แก้ไขสถานการณ์การระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า วันนี้ (15 มิ.ย.)กระทรวงสาธารณสุขตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพิ่มอีก 51 ราย ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเอกชน 28 ราย โรงเรียนอื่นๆ 10 ราย และผู้ป่วยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและติดเชื้อภายในประเทศ 13 ราย รวมเป็น 201 ราย และจากนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะขณะนี้ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของเชื้อภายในประเทศแล้ว แต่ไม่อยากให้ประชาชนแตกตื่น เนื่องจากผู้ติดเชื้อ 95% จะหายได้เอง มีเพียง 5 %ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอาจเป็นเพราะมีโรคประจำตัวอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว ทำให้มีอาการที่รุนแรงขึ้นกว่าคนทั่วไป
หยุดรายงานตัวเลขผู้ป่วยหวัดใหญ่ 2009 ทั้งประเทศ
นพ.สุพรรณ กล่าวด้วยว่า ในการรายงานตัวเลขผู้ป่วย จากนี้ สธ.จะรายงานเป็นยอดรวมของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งสายพันธุ์ใหม่และเก่า โดยไม่มีการให้รายละเอียดของผู้ป่วย แต่อาจจะมีการแยกให้เห็นว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จำนวนเท่าไหร่ และสายพันธุ์เก่าจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งการรายงานตัวเลขของผู้ป่วยสายพันธุ์ใหม่นั้น จะรายงานเฉพาะจำนวนผู้ป่วยที่มีการสุ่มเชื้อมาตรวจเท่านั้น หมายความว่าจากนี้ไปตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จะไม่ใช่ตัวเลขของผู้ป่วยที่ติดเชื้อนี้ทั้งประเทศ แต่เป็นตัวเลขผู้ป่วยที่มีการสุ่มตรวจเชื้อ
ปลัด สธ.สั่งปิดปากเลิกให้ตัวเลข-ข้อมูลผู้ป่วย
โฆษก สธ.กล่าวอีกด้วยว่า สธ.จะทำหนังสือที่ลงนามโดยปลัดกระทรวงสาธารณสุขแจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศงดการให้ข่าวตัวเลขผู้ป่วยและรายละเอียดของผู้ป่วย สามารถให้ได้เฉพาะข้อมูลการป้องกันโรคเท่านั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสนกับตัวเลขที่ออกจาก สธ. และในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00 น. สธ.จะจัดประชุมแพทย์ที่ทำหน้าที่ในการตรวจรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน ประมาณ 500 คน ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยและการประเมินสถานการณ์ของโรค
ชี้ให้ นร.ป่วยหยุดเรียนดีกว่าปิดโรงเรียน
“มีโรงเรียนประกาศปิดเรียนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เป็นเพราะมีความตื่นตระหนก ทั้งที่การปิดโรงเรียนมีประโยชน์น้อย แต่การเปลี่ยนมาใช้มาตรการให้นักเรียนที่ป่วยหยุดอยู่กับบ้านดีกว่าการปิดโรงเรียน และ สธ.ขอย้ำว่าสิ่งสำคัญคือวิธีการป้องกันตัวเองที่ถูกต้อง จะช่วยชะลอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ดีที่สุด เช่น การกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งการรู้ป้องกันตนเองไม่ให้รับเชื้อจากผู้ป่วยและป้องกันเชื้อแพร่สู่คนอื่นดีที่สุด เพราะขณะนี้มีเชื้ออยู่ทั่วประเทศ ไม่สามารถห้ามไม่ให้เชื้อแพร่ไปในระดับภูมิภาคได้แล้ว”นพ.สุพรรณกล่าว
นพ.ศุภมิตร์ ชุณห์สุทธิวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ภายใน 2-3 วัน สธ.จะดำเนินการแจ้งให้แพทย์และพยาบาลปรับวิธีการวินิจฉัย โดยหากพบว่าผู้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไม่จำเป็นต้องมีการวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่หรือเก่า แต่ให้ดำเนินการรักษาเหมือนกันทั้งหมด และในการตรวจสอบเชื้อหาสายพันธุ์ของไวรัส จะไม่เก็บเชื้อผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มาตรวจสอบสายพันธุ์ในห้องปฏิบัติการทุกราย เนื่องจากในการรักษาดำเนินการเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์ใด แต่ยังต้องมีการสุ่มตรวจเชื้อจากผู้ป่วยบ้างเพื่อเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ ไม่จำเป็นต้องทำเกินกว่านี้เพราะไม่มีประโยชน์
ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวด้วยว่า ข้อมูลทางวิชาการระบุว่าในแต่ละปีทั่วโลกมีไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นทุกปีอยู่แล้ว แต่มีลักษณะทางโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันจึงไม่มีความแตกต่างของโรค หมายความว่า เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์ในระดับเล็กๆน้อยๆอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว จะเห็นได้จากการที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพราะไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในแต่ละปีเป็นคนละสายพันธุ์กัน ทำให้วัคซีนที่ใช้ในการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่ระบาดในปีก่อนหน้า ไม่สามารถใช้ได้กับสายพันธุ์ที่ระบาดในปีต่อไป
หวัดสายพันธุ์ใหม่-เก่ารุนแรงเท่ากัน
นพ.ศุภมิตร กล่าวอีกว่า ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีโครงสร้างต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ พอสมควร ทำให้มีการแพร่กระจายเร็วไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นๆที่เกิดขึ้นในแต่ละปี แต่อาการและความรุนแรงคล้ายกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เก่า ขณะนี้ทั่วโลกจึงมองไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เหมือนกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่ระบาดตามฤดูกาลทั่วไป การป้องกันและการรักษาก็เหมือนกัน ประเทศไทยก็เช่นเดียวกันกำลังดำเนินการปรับความรู้ความเข้าใจของประชาชนให้รู้สึกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นเพียงแค่ไข้หวัดใหญ่ทั่วไป
“คนไทยอาจจะสับสนเพราะเดือนที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขนำเสนอประหนึ่งว่าโรคนี้มีความรุนแรงมาก ประชาชนต้องตื่นตัวในการรับมือและป้องกัน แต่มาเดือนนี้กลับบอกว่า เชื้อไม่มีความรุนแรงเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ธรรมดาทั่วไป นั่นเป็นเพราะในระยะแรกยังไม่มีข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่นี้ว่าจะมีความรุนแรงแค่ไหน จำเป็นต้องบอกให้ประชาชนระมัดระวังตัวไว้ก่อน แต่เมื่อมีการศึกษาจึงได้มีความรู้มากขึ้นว่าความรุนแรงไม่แตกต่างจากไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ถือเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ประชาชนมีความตื่นตัวในการป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั้งพันธุ์เก่าและใหม่มากขึ้น โดยไม่แยกสายพันธุ์ เพราะการป้องกันเหมือนกัน”นพ.ศุภมิตรกล่าว
นพ.ศุภมิตร กล่าวอีกด้วยว่า ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 1-4 หมื่นรายต่อปี ซึ่งในความเป็นจริงมีจำนวนผู้ป่วยมากกว่านี้ เพียงแต่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยเพราะมีอาการไม่รุนแรง ไม่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และจากการศึกษาวิจัยใน 2 จังหวัด พบว่า มีผู้ป่วยนอกที่เข้ารับการรักษาจากการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 9 แสนรายต่อปี โดยที่ประชาชนไม่สนใจ อาจเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ส่วนผู้ป่วยในที่ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการปอดบวม โดยไม่ได้สนใจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่
5 เดือนคนไทยป่วยหวัดใหญ่กว่า 5 พันราย
นพ.ภาสกร อัศวเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - 6 มิถุนายน 2552 ประเทศไทยมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ตามฤดูกาลแล้ว5,399 ราย เฉพาะ 1 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน 2552 พบผู้ป่วย 288 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ขณะที่ในปี 5 ปีย้อนหลังพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ประมาณ 1.1-1.3หมื่นราย เท่ากับว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลใน 1 สัปดาห์ มีจำนวนมากกว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่พบในรอบ 2 เดือนซึ่งมีเพียง 201 รายเท่านั้น
ทำสมุดปกเขียวแจง ปชช.
ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก สธ.กล่าวว่า สธ.จะดำเนินการจัดทำสมุดปกเขียว เพื่อทำความเข้าใจ คลายความวิตกกังวลและให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากประชาชนมีข้อสงสัยและสอบถามข้อมูลเข้ามาที่กระทรวงฯเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองที่เป็นห่วงบุตรหลาย และพบว่าประชาชนมีความเครียดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคนี้มากถึง 80-90 % โดยจะเร่งดำเนินการรวบรวมและจัดทำโดยเร็วที่สุด
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันสื่อมีการนำเสนอในลักษณะที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หลักๆ ใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1.ทำไมถึงมีผู้ป่วยจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ ขอชี้แจงว่า เป็นธรรมชาติของโรค ที่เมื่อเกิดโรคขึ้นก็จะพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่ผ่านมา สธ.พยายามดำเนินมาตรการเพื่อชะลอเวลาที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคในประเทศให้นานที่สุด เพราะอย่างไรเสีย ก็จะต้องเกิดการแพร่ระบาดในประเทศแน่นอน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่นเดียวกับ ประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ส่วนจะระบาดเป็นจำนวนมากน้อยแค่ไหนไม่มีใครรู้ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของประชาชนในการช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไม่ให้สูงขึ้น
2.สธ.ปกปิดข้อมูลหรือไม่จากการไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยและโรงเรียน ขอชี้แจงว่า สธ.ไม่ได้ปกปิดข้อมูลแต่ที่ไม่สามารถบอกข้อมูลผู้ป่วยได้เนื่องจากผู้ป่วยต้องการให้มีการปกปิด จึงต้องเคารพในสิทธิผู้ป่วย ส่วนโรงเรียนจำเป็นต้องรอผลการตรวจยืนยัน เชื้อจากห้องปฏิบัติการให้ชัดเจนก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับโรงเรียน และ 3.สธ.จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการหรือไม่นั้น สธ.ได้ดำเนินการมาตรการระดับสูงสุดอยู่แล้ว เหลือเพียงระดับของประชาชนที่ต้องให้ความร่วมมือเท่านั้น
**แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคาดอีก 1 ด.ผู้ป่วยหวัดใหญ่พันธุ์ใหม่พุ่งสูง
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมการแพทย์ กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ในประเทศไทยต่อจากนี้ไปอีกประมาณ 1 เดือน คาดว่าจะพบผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประสบการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวในประเทศอื่นๆก่อนหน้านี้ อาทิ สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ในญี่ปุ่นก็พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นวันละ 300-400 ราย แต่หลังจากนั้นผู้ป่วยที่พบก็อยู่ในระดับน้อยลงหรือคงที่ซึ่งวันนี้ญี่ปุ่นก็พบจำนวนผู้ป่วยช้าลง
“อย่างไรก็ตามไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าจะมีจำนวนเท่าใด เพิ่มขึ้นสูงมาก หรือสูงปานกลางก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะผู้ป่วยอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่แสดงอาการจึงทำให้ไม่ทราบตัวเลขที่แท้จริง รวมถึงไม่สามารถรับประกันว่าโรคดังกล่าวจะไม่มีการแพร่กระจายอีก เพราะเชื้อก็ยังคงอยู่ในโลกนี้ และก็ยังมีคนที่ยังไม่ป่วยที่สามารถรับเชื้อดังกล่าวได้อยู่ตลอดเวลา แต่อยู่ที่ว่าเราจะต้องควบคุมการติดเชื้อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาล ซึ่งหนทางสุดท้ายที่จะลดการติดเชื้อจากผู้ที่ไม่เคยได้รับเชื้อมาก่อนก็คือการฉีดวัคซีน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวออกมา”รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าว
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่คือ ยาโอเซลทามิเวียร์ ที่ขณะนี้สธ.ได้สำรองยาไว้ประมาณ 5 ล้านเม็ดหรือสำหรับผู้ป่วย 5 แสนคนนั้น ยังถือว่าเพียงพอต่อการแพร่ระบาดภายในประเทศ หากไม่เพียงพอก็สามารถสั่งซื้อวัตถุดิบมาและองค์การเภสัชกรรมก็สามารถผลิตสำรองไว้เพื่อความั่นคงของประเทศได้ โดยทางสธ.ได้วางแผนการจัดสรรยาดังกล่าวสำหรับทุกสถานการณ์ไว้แล้ว โดยปกติได้กระจายยาให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแต่ละแห่งเป็นผู้สต็อกยาและกระจายไปยังสถานพยาบาลที่พบผู้ป่วยในพื้นที่ต่างๆ
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 15 มิ.ย.ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุม แก้ไขสถานการณ์การระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า วันนี้ (15 มิ.ย.)กระทรวงสาธารณสุขตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพิ่มอีก 51 ราย ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเอกชน 28 ราย โรงเรียนอื่นๆ 10 ราย และผู้ป่วยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและติดเชื้อภายในประเทศ 13 ราย รวมเป็น 201 ราย และจากนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะขณะนี้ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของเชื้อภายในประเทศแล้ว แต่ไม่อยากให้ประชาชนแตกตื่น เนื่องจากผู้ติดเชื้อ 95% จะหายได้เอง มีเพียง 5 %ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอาจเป็นเพราะมีโรคประจำตัวอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว ทำให้มีอาการที่รุนแรงขึ้นกว่าคนทั่วไป
หยุดรายงานตัวเลขผู้ป่วยหวัดใหญ่ 2009 ทั้งประเทศ
นพ.สุพรรณ กล่าวด้วยว่า ในการรายงานตัวเลขผู้ป่วย จากนี้ สธ.จะรายงานเป็นยอดรวมของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งสายพันธุ์ใหม่และเก่า โดยไม่มีการให้รายละเอียดของผู้ป่วย แต่อาจจะมีการแยกให้เห็นว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จำนวนเท่าไหร่ และสายพันธุ์เก่าจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งการรายงานตัวเลขของผู้ป่วยสายพันธุ์ใหม่นั้น จะรายงานเฉพาะจำนวนผู้ป่วยที่มีการสุ่มเชื้อมาตรวจเท่านั้น หมายความว่าจากนี้ไปตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จะไม่ใช่ตัวเลขของผู้ป่วยที่ติดเชื้อนี้ทั้งประเทศ แต่เป็นตัวเลขผู้ป่วยที่มีการสุ่มตรวจเชื้อ
ปลัด สธ.สั่งปิดปากเลิกให้ตัวเลข-ข้อมูลผู้ป่วย
โฆษก สธ.กล่าวอีกด้วยว่า สธ.จะทำหนังสือที่ลงนามโดยปลัดกระทรวงสาธารณสุขแจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศงดการให้ข่าวตัวเลขผู้ป่วยและรายละเอียดของผู้ป่วย สามารถให้ได้เฉพาะข้อมูลการป้องกันโรคเท่านั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสนกับตัวเลขที่ออกจาก สธ. และในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00 น. สธ.จะจัดประชุมแพทย์ที่ทำหน้าที่ในการตรวจรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน ประมาณ 500 คน ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยและการประเมินสถานการณ์ของโรค
ชี้ให้ นร.ป่วยหยุดเรียนดีกว่าปิดโรงเรียน
“มีโรงเรียนประกาศปิดเรียนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เป็นเพราะมีความตื่นตระหนก ทั้งที่การปิดโรงเรียนมีประโยชน์น้อย แต่การเปลี่ยนมาใช้มาตรการให้นักเรียนที่ป่วยหยุดอยู่กับบ้านดีกว่าการปิดโรงเรียน และ สธ.ขอย้ำว่าสิ่งสำคัญคือวิธีการป้องกันตัวเองที่ถูกต้อง จะช่วยชะลอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ดีที่สุด เช่น การกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งการรู้ป้องกันตนเองไม่ให้รับเชื้อจากผู้ป่วยและป้องกันเชื้อแพร่สู่คนอื่นดีที่สุด เพราะขณะนี้มีเชื้ออยู่ทั่วประเทศ ไม่สามารถห้ามไม่ให้เชื้อแพร่ไปในระดับภูมิภาคได้แล้ว”นพ.สุพรรณกล่าว
นพ.ศุภมิตร์ ชุณห์สุทธิวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ภายใน 2-3 วัน สธ.จะดำเนินการแจ้งให้แพทย์และพยาบาลปรับวิธีการวินิจฉัย โดยหากพบว่าผู้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไม่จำเป็นต้องมีการวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่หรือเก่า แต่ให้ดำเนินการรักษาเหมือนกันทั้งหมด และในการตรวจสอบเชื้อหาสายพันธุ์ของไวรัส จะไม่เก็บเชื้อผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มาตรวจสอบสายพันธุ์ในห้องปฏิบัติการทุกราย เนื่องจากในการรักษาดำเนินการเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์ใด แต่ยังต้องมีการสุ่มตรวจเชื้อจากผู้ป่วยบ้างเพื่อเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ ไม่จำเป็นต้องทำเกินกว่านี้เพราะไม่มีประโยชน์
ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวด้วยว่า ข้อมูลทางวิชาการระบุว่าในแต่ละปีทั่วโลกมีไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นทุกปีอยู่แล้ว แต่มีลักษณะทางโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันจึงไม่มีความแตกต่างของโรค หมายความว่า เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์ในระดับเล็กๆน้อยๆอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว จะเห็นได้จากการที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพราะไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในแต่ละปีเป็นคนละสายพันธุ์กัน ทำให้วัคซีนที่ใช้ในการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่ระบาดในปีก่อนหน้า ไม่สามารถใช้ได้กับสายพันธุ์ที่ระบาดในปีต่อไป
หวัดสายพันธุ์ใหม่-เก่ารุนแรงเท่ากัน
นพ.ศุภมิตร กล่าวอีกว่า ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีโครงสร้างต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ พอสมควร ทำให้มีการแพร่กระจายเร็วไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นๆที่เกิดขึ้นในแต่ละปี แต่อาการและความรุนแรงคล้ายกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เก่า ขณะนี้ทั่วโลกจึงมองไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เหมือนกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่ระบาดตามฤดูกาลทั่วไป การป้องกันและการรักษาก็เหมือนกัน ประเทศไทยก็เช่นเดียวกันกำลังดำเนินการปรับความรู้ความเข้าใจของประชาชนให้รู้สึกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นเพียงแค่ไข้หวัดใหญ่ทั่วไป
“คนไทยอาจจะสับสนเพราะเดือนที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขนำเสนอประหนึ่งว่าโรคนี้มีความรุนแรงมาก ประชาชนต้องตื่นตัวในการรับมือและป้องกัน แต่มาเดือนนี้กลับบอกว่า เชื้อไม่มีความรุนแรงเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ธรรมดาทั่วไป นั่นเป็นเพราะในระยะแรกยังไม่มีข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่นี้ว่าจะมีความรุนแรงแค่ไหน จำเป็นต้องบอกให้ประชาชนระมัดระวังตัวไว้ก่อน แต่เมื่อมีการศึกษาจึงได้มีความรู้มากขึ้นว่าความรุนแรงไม่แตกต่างจากไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ถือเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ประชาชนมีความตื่นตัวในการป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั้งพันธุ์เก่าและใหม่มากขึ้น โดยไม่แยกสายพันธุ์ เพราะการป้องกันเหมือนกัน”นพ.ศุภมิตรกล่าว
นพ.ศุภมิตร กล่าวอีกด้วยว่า ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 1-4 หมื่นรายต่อปี ซึ่งในความเป็นจริงมีจำนวนผู้ป่วยมากกว่านี้ เพียงแต่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยเพราะมีอาการไม่รุนแรง ไม่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และจากการศึกษาวิจัยใน 2 จังหวัด พบว่า มีผู้ป่วยนอกที่เข้ารับการรักษาจากการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 9 แสนรายต่อปี โดยที่ประชาชนไม่สนใจ อาจเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ส่วนผู้ป่วยในที่ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการปอดบวม โดยไม่ได้สนใจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่
5 เดือนคนไทยป่วยหวัดใหญ่กว่า 5 พันราย
นพ.ภาสกร อัศวเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - 6 มิถุนายน 2552 ประเทศไทยมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ตามฤดูกาลแล้ว5,399 ราย เฉพาะ 1 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน 2552 พบผู้ป่วย 288 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ขณะที่ในปี 5 ปีย้อนหลังพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ประมาณ 1.1-1.3หมื่นราย เท่ากับว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลใน 1 สัปดาห์ มีจำนวนมากกว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่พบในรอบ 2 เดือนซึ่งมีเพียง 201 รายเท่านั้น
ทำสมุดปกเขียวแจง ปชช.
ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก สธ.กล่าวว่า สธ.จะดำเนินการจัดทำสมุดปกเขียว เพื่อทำความเข้าใจ คลายความวิตกกังวลและให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากประชาชนมีข้อสงสัยและสอบถามข้อมูลเข้ามาที่กระทรวงฯเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองที่เป็นห่วงบุตรหลาย และพบว่าประชาชนมีความเครียดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคนี้มากถึง 80-90 % โดยจะเร่งดำเนินการรวบรวมและจัดทำโดยเร็วที่สุด
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันสื่อมีการนำเสนอในลักษณะที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หลักๆ ใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1.ทำไมถึงมีผู้ป่วยจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ ขอชี้แจงว่า เป็นธรรมชาติของโรค ที่เมื่อเกิดโรคขึ้นก็จะพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่ผ่านมา สธ.พยายามดำเนินมาตรการเพื่อชะลอเวลาที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคในประเทศให้นานที่สุด เพราะอย่างไรเสีย ก็จะต้องเกิดการแพร่ระบาดในประเทศแน่นอน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่นเดียวกับ ประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ส่วนจะระบาดเป็นจำนวนมากน้อยแค่ไหนไม่มีใครรู้ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของประชาชนในการช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไม่ให้สูงขึ้น
2.สธ.ปกปิดข้อมูลหรือไม่จากการไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยและโรงเรียน ขอชี้แจงว่า สธ.ไม่ได้ปกปิดข้อมูลแต่ที่ไม่สามารถบอกข้อมูลผู้ป่วยได้เนื่องจากผู้ป่วยต้องการให้มีการปกปิด จึงต้องเคารพในสิทธิผู้ป่วย ส่วนโรงเรียนจำเป็นต้องรอผลการตรวจยืนยัน เชื้อจากห้องปฏิบัติการให้ชัดเจนก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับโรงเรียน และ 3.สธ.จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการหรือไม่นั้น สธ.ได้ดำเนินการมาตรการระดับสูงสุดอยู่แล้ว เหลือเพียงระดับของประชาชนที่ต้องให้ความร่วมมือเท่านั้น
**แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคาดอีก 1 ด.ผู้ป่วยหวัดใหญ่พันธุ์ใหม่พุ่งสูง
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมการแพทย์ กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ในประเทศไทยต่อจากนี้ไปอีกประมาณ 1 เดือน คาดว่าจะพบผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประสบการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวในประเทศอื่นๆก่อนหน้านี้ อาทิ สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ในญี่ปุ่นก็พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นวันละ 300-400 ราย แต่หลังจากนั้นผู้ป่วยที่พบก็อยู่ในระดับน้อยลงหรือคงที่ซึ่งวันนี้ญี่ปุ่นก็พบจำนวนผู้ป่วยช้าลง
“อย่างไรก็ตามไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าจะมีจำนวนเท่าใด เพิ่มขึ้นสูงมาก หรือสูงปานกลางก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะผู้ป่วยอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่แสดงอาการจึงทำให้ไม่ทราบตัวเลขที่แท้จริง รวมถึงไม่สามารถรับประกันว่าโรคดังกล่าวจะไม่มีการแพร่กระจายอีก เพราะเชื้อก็ยังคงอยู่ในโลกนี้ และก็ยังมีคนที่ยังไม่ป่วยที่สามารถรับเชื้อดังกล่าวได้อยู่ตลอดเวลา แต่อยู่ที่ว่าเราจะต้องควบคุมการติดเชื้อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาล ซึ่งหนทางสุดท้ายที่จะลดการติดเชื้อจากผู้ที่ไม่เคยได้รับเชื้อมาก่อนก็คือการฉีดวัคซีน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวออกมา”รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าว
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่คือ ยาโอเซลทามิเวียร์ ที่ขณะนี้สธ.ได้สำรองยาไว้ประมาณ 5 ล้านเม็ดหรือสำหรับผู้ป่วย 5 แสนคนนั้น ยังถือว่าเพียงพอต่อการแพร่ระบาดภายในประเทศ หากไม่เพียงพอก็สามารถสั่งซื้อวัตถุดิบมาและองค์การเภสัชกรรมก็สามารถผลิตสำรองไว้เพื่อความั่นคงของประเทศได้ โดยทางสธ.ได้วางแผนการจัดสรรยาดังกล่าวสำหรับทุกสถานการณ์ไว้แล้ว โดยปกติได้กระจายยาให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแต่ละแห่งเป็นผู้สต็อกยาและกระจายไปยังสถานพยาบาลที่พบผู้ป่วยในพื้นที่ต่างๆ