เครือข่ายร้านขายยาให้บริการแนะนำการเลิกบุหรี่ ระบุต้องได้รับคำแนะนำเหมาะสมร่วมกับการใช้ยา ช่วยให้เลิกอมควันสำเร็จกว่าเลิกเองเพิ่มขึ้น ร้อยละ 30 สสส.ผลักดันนำหมายเลขควิกไลน์ 1600 พิมพ์คู่ภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ พร้อมประสานบัตรทองเลิกบุหรี่ไม่เสียค่าใช้จ่าย
วันที่ 26 พฤษภาคม 52 ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผศ.ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยง กล่าวในการแถลงข่าว “ทางเลือกใหม่ของการเลิกบุหรี่ โดยเครือข่ายเภสัชกรรมเพื่อควบคุมยาสูบ ภายใต้โครงการเภสัชอาสา...พาเลิกบุหรี่ว่า จากการสำรวจพบว่า 3 ใน 4 ของผู้สูบบุหรี่ทั้งหมดต้องการเลิกสูบบุหรี่ แต่มีไม่ถึงร้อยละ 10 ที่เลิกได้สำเร็จ เนื่องจากไม่มีที่ปรึกษา ซึ่งหากผู้ต้องการเลิกบุหรี่ได้รับคำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยาที่ถูกต้องร่วมกัน อัตราการประสบความสำเร็จในการเลิกบุหรี่จะเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 รวมถึงแรงกระตุ้นอื่นๆ เช่น การได้เห็นภาพคำเตือนที่ซองบุหรี่ พิษภัยของบุหรี่ ราคาที่สูงขึ้นและการให้บริการในการเลิกบุหรี่ที่เพียงพอ
ผศ.ดร.สุปรีดา กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการเภสัชอาสา...พาเลิกบุหรี่เป็นความร่วมมือของวิชาชีพเภสัชกรรมที่มีร้านขายยากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการได้ง่าย ซึ่งขณะนี้มีร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยผ่านการอบรมแล้วจำนวน 3,000 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งในอนาคตจะเชื่อมโยงนวัตกรรมในการเลิกบุหรี่กับระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองโดยสามารถเลิกบุหรี่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้จะผลักดันให้นำหมายเลขควิกไลน์ 1600 ของศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ นำไปพิมพ์คู่กับภาพคำเตือนที่ซองบุหรี่ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลด้วย
ด้าน ภก.คทา บัณฑิตานุกูล ประธานครือข่ายวิชาชีพเภสัชกรรมเพื่อควบคุมยาสูบ กล่าวว่า เครือข่ายฯ ได้เข้าร่วมรณรงค์งดสูบบุหรี่ โดยนำเสนอทางเลือกใหม่ของผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ เน้นการวิเคราะห์เป็นรายบุคคลและให้คำปรึกษาการเลิกบุหรี่อย่างเป็นขั้นตอนด้วยแนวทาง 5A’s คือ ถาม (Ask) แนะนำ (Advise) ประเมิน (Assess) ช่วยเหลือ (Assist) ติดตาม(Arrange) ร่วมกับการใช้ยาช่วย โดยเน้นการรักษาแบบติดตามผลอย่างใกล้ชิด ซึ่งประชาชนสามารถขอรับบริการที่เครือข่ายร้านขายยาปลอดบุหรี่ ทั้ง 2,810 ร้าน และร้านขายยาที่มีเภสัชอาสา...พาเลิกบุหรี่ ซึ่งจะมีสติกเกอร์อยู่ที่หน้าร้าน ให้บริการปรึกษาเลิกบุหรี่อย่างครบวงจรกว่า 300 ร้านทั่วประเทศ
ภก.คทา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีเภสัชกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านการอบรมเภสัชกรรมกรรมการเลิกบุหรี่ตั้งแต่ปี 2549 จำนวน 3,086 คน โดยการให้ความรู้และฝึกในการให้บริการเลิกบุหรี่กับประชาชน นอกจากนี้ ได้ขยายการอบรมเภสัชกรในโรงพยาบาล เพื่อให้คำแนะนำผู้ป่วยเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ในการเลิกบุหรี่จำนวน 1,000 คน โดยในอนาคตมีเป้าหมายให้คลอบคุลมร้านขายยาทั้งหมดทั่วประเทศกว่า 2 หมื่นล้าน ซึ่งเชื่อว่ามีศักยภาพเพียงพอในการการช่วยให้ประชาชนเลิกบุหรี่ได้โดยไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล รวมทั้งสามารถร่วมกับศูนย์บริการเลิกบุหรี่แห่งชาติ ช่วยคัดกรองผู้ที่สนใจเลิกบุหรี่ให้เข้าสู่ระบบมากขึ้น
“ข้อมูลทางวิชาการยืนยันชัดเจนว่า การเลิกบุหรี่ให้ได้ผลต้องอาศัยตัวช่วยในการเลิกสูบ เช่น หมากฝรั่งนิโคติน หรือยาร่วมด้วยอย่างถูกต้อง เพราะเมื่อผู้ที่เลิกสูบไปแล้วเจอกับผู้ที่สูบจะเป็นการกระตุ้นให้กลับมาสูบอีกจึงควรที่จะพกหมากฝรั่งติดตัวเมื่อจำเป็นแต่จะไม่แนะนำให้ใช้แผ่นแปะนิโคตินเพราะมีราคาแพงและไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศของไทย อย่างไรก็ตามการใช้ตัวช่วยเลิกบุหรี่ร่วมกับยา ไม่จำเป็นว่าทุกรายต้องใช้ยาแต่จะต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป ซึ่งตามหลักผู้ที่สูบบุหรี่เฉลี่ยไม่เกินวันละ 10 ม้วน สามารถใช้แค่หมากฝรั่งอย่างเดียว แต่หากสูบเกินวันละ 20-30 มวน จะต้องใช้ยาร่วมด้วย ที่สำคัญต้องอาศัยกำลังใจและคำแนะนำที่ถูกต้อง ทั้งนี้ผลการให้บริการเลิกบุหรี่ของโครงการฯ ช่วย 2 ปี ผ่านมาพบว่า มีผู้เลิกบุหรี่จำนวน 100 ราย อยู่ระหว่างการติดตามผล ในช่วง 6 เดือน” ภก.คทากล่าว
ภก.คทา กล่าวด้วยว่า การใช้หมากฝรั่งนิโคตินในการเลิกบุหรี่ต่อเนื่อง 6 เดือน ต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาร 3,000-4,000 บาท แต่ส่วนใหญ่สามารถที่จะเลิกได้โดยใช้เวลา 1 เดือน ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 บาท เท่านั้น โดยอันตรายจากหมากฝรั่งนิโคตินแลละการติดนิโคตินมีน้อยกว่าบุหรี่ นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนาลูกอมนิโคตินเลิกบุหรี่ โดยมีข้อมูลในอังกฤษยืนยันว่าได้ผลดีมากด้วย