สคบ.เตือนผู้บริโภค คิดก่อนเซ็นสัญญาเล่นฟิตเนส หลังมีปัญหาร้องเรียนสัญญาไม่เป็นธรรม เหตุเขียนสัญญาซ่อนเงื่อนไม่เล่นก็ต้องจ่าย ยกเลิกไม่ได้ นักกฎหมายชี้สัญญาหมิ่นเหม่ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เตรียมผลักดันให้เป็นธุรกิจที่ต้องควบคุม
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดเสวนาเรื่อง “ฟิตเนส สัญญาอันตราย เข้าแล้ว ห้ามออก หลอกหรือโกง” นางชื่นสุข เมธากุลวัฒน์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลการร้องเรียนธุรกิจออกกำลังกาย (ฟิตเนส) พบว่า ผู้บริโภคซึ่งไม่ได้ความเป็นธรรมและมีปัญหาจากการใช้บริการ ได้ร้องเรียนเข้ามาที่ สคบ.ระหว่างปี 2548-2551 มีทั้งสิ้น 9 บริษัท แต่หลักๆ เป็นการร้องเรียนกิจการขนาดใหญ่ 3 บริษัท ที่เหลือเป็นผู้บริการรายย่อย ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นปัญหาสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และบางส่วนเป็นการร้องเรียนเนื่องจากมีการปิดกิจการ
“สัญญาของกิจการประเภทสถานออกกำลังกาย มักเขียนเพื่อผูกมัดผู้บริโภคทุกเงื่อนไข ซึ่งผู้บริโภคต้องอ่านอย่างละเอียดก่อนทำสัญญาใดๆ และอย่าหลงเชื่อเพียงคำพูดของพนักงานขาย เพราะพบว่ามักมีการหว่านล้อมโฆษณาเกินจริง และซ่อนเงื่อนไขผูกมัดไว้ในสัญญา การยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาไม่ได้ จึงกลายเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคพบในภายหลัง” นางชื่นสุข กล่าว
นายชัยรัตน์ จุมวงษ์ คณะกรรมการไกล่เกลี่ยเรื่องราวร้องทุกข์ผู้บริโภค สคบ.กล่าวว่า กรณีสัญญาฟิตเนสเป็นปัญหาที่ สคบ.เตือนผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่องให้ระมัดระวัง เพราะสัญญาของกิจการประเภทนี้ถือว่ามีลักษณะหมิ่นเหม่ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 จากสถิติของผู้ร้องเรียน สาเหตุของปัญหา ทำให้เห็นได้ว่ากำลังมีการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างมาก ขณะนี้กำลังมีการผลักดันให้ธุรกิจฟิตเนสเป็นธุรกิจที่ต้องมีการควบคุมสัญญาเหมือนธุรกิจบางประเภท โดยกำหนดหลักเกณฑ์ กติกาในการทำสัญญาเพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภคเหมือนในปัจจุบัน
นพ.สมชาย ลี่ทองอิน กองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาเรื่องธุรกิจการออกกำลังกาย เพื่อทำให้มีการควบคุมมาตรฐาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ และเก็บข้อมูลอุบัติเหตุที่เกิดจากการออกกำลังกาย ซึ่งธุรกิจการออกกำลังกาย ต้องมีอุบัติเหตุไม่สูงหรือเท่ากับ การออกกำลังกายในชุมชน เพราะถือเป็นธุรกิจที่หากำไรจากการออกกำลังกาย เพื่อทำให้ภาครัฐสามารถเข้าไปควบคุมกิจการประเภทดังกล่าวให้อยู่ในมาตรฐานได้
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดเสวนาเรื่อง “ฟิตเนส สัญญาอันตราย เข้าแล้ว ห้ามออก หลอกหรือโกง” นางชื่นสุข เมธากุลวัฒน์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลการร้องเรียนธุรกิจออกกำลังกาย (ฟิตเนส) พบว่า ผู้บริโภคซึ่งไม่ได้ความเป็นธรรมและมีปัญหาจากการใช้บริการ ได้ร้องเรียนเข้ามาที่ สคบ.ระหว่างปี 2548-2551 มีทั้งสิ้น 9 บริษัท แต่หลักๆ เป็นการร้องเรียนกิจการขนาดใหญ่ 3 บริษัท ที่เหลือเป็นผู้บริการรายย่อย ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นปัญหาสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และบางส่วนเป็นการร้องเรียนเนื่องจากมีการปิดกิจการ
“สัญญาของกิจการประเภทสถานออกกำลังกาย มักเขียนเพื่อผูกมัดผู้บริโภคทุกเงื่อนไข ซึ่งผู้บริโภคต้องอ่านอย่างละเอียดก่อนทำสัญญาใดๆ และอย่าหลงเชื่อเพียงคำพูดของพนักงานขาย เพราะพบว่ามักมีการหว่านล้อมโฆษณาเกินจริง และซ่อนเงื่อนไขผูกมัดไว้ในสัญญา การยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาไม่ได้ จึงกลายเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคพบในภายหลัง” นางชื่นสุข กล่าว
นายชัยรัตน์ จุมวงษ์ คณะกรรมการไกล่เกลี่ยเรื่องราวร้องทุกข์ผู้บริโภค สคบ.กล่าวว่า กรณีสัญญาฟิตเนสเป็นปัญหาที่ สคบ.เตือนผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่องให้ระมัดระวัง เพราะสัญญาของกิจการประเภทนี้ถือว่ามีลักษณะหมิ่นเหม่ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 จากสถิติของผู้ร้องเรียน สาเหตุของปัญหา ทำให้เห็นได้ว่ากำลังมีการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างมาก ขณะนี้กำลังมีการผลักดันให้ธุรกิจฟิตเนสเป็นธุรกิจที่ต้องมีการควบคุมสัญญาเหมือนธุรกิจบางประเภท โดยกำหนดหลักเกณฑ์ กติกาในการทำสัญญาเพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภคเหมือนในปัจจุบัน
นพ.สมชาย ลี่ทองอิน กองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาเรื่องธุรกิจการออกกำลังกาย เพื่อทำให้มีการควบคุมมาตรฐาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ และเก็บข้อมูลอุบัติเหตุที่เกิดจากการออกกำลังกาย ซึ่งธุรกิจการออกกำลังกาย ต้องมีอุบัติเหตุไม่สูงหรือเท่ากับ การออกกำลังกายในชุมชน เพราะถือเป็นธุรกิจที่หากำไรจากการออกกำลังกาย เพื่อทำให้ภาครัฐสามารถเข้าไปควบคุมกิจการประเภทดังกล่าวให้อยู่ในมาตรฐานได้
