ป.ป.ท.แฉอาคารใน กทม.33 แห่ง ถูกปลอมลายเซ็นเหมือนกับ “ซานติก้า” เปี๊ยบ ชี้ กทม.ย้าย ผอ.เขต 2 คน แต่กลับไม่ระบุว่าผิด อาจหลุดอาญา-แพ่ง จี้เอาผิดจริงทั้งระบบไม่ว่ารัฐ-เอกชน ด้าน กทม.เล็งขยายสอบประเด็นปลอมลายเซ็นตามผลสอบของยุติธรรม ส่อเรียกผู้เกี่ยวพันอีกหลายปาก และมีแนวโน้มขอขยายเวลาสอบเพิ่มอีก 15 วัน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กล่าวในการเสวนาซานติก้า ปัญหาและทางออกของผู้บริโภคที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่า จากตรวจสอบข้อมูลกรณีของไฟไหม้ซานติก้าผับพบว่า มีการปลอมแปลงลายเซ็นการลงนามรับรองแบบแปลนอาคารของวิศวกร ซึ่งข้อมูลเพิ่มเติมที่ทราบมาและทำให้ตกใจมาก คือ พบว่าวิศวกรหญิงรายที่ดังกล่าวถูกปลอมแปลงลายเซ็นในการรับรองแปลนอาคารใน กทม.กว่าอีก 33 อาคารด้วยกัน
“ผมเคยหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สภาวิศวกร ฯลฯ เพื่อให้มีการกลับไปตรวจสอบข้อมูลแปลนอาคารต่างๆ ใน กทม.ว่ามีการปลอมแปลงลายเซ็นเช่นนี้อีกหรือไม่ ซึ่งในฐานะที่เป็นเสียงข้างน้อยในการหารือ ทำให้เรื่องดังกล่าวไม่เกิดขึ้น เพราะเสียงส่วนใหญ่เกรงว่าจะเกิดการแตกตื่น ซึ่งผมเชื่อว่าใน กทม.ยังมีสถานบริการที่มีสภาพเช่นนี้อีกมาก ซึ่งหากไม่จัดการบุคคลเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรไปกับอาชญากรทางเศรษฐกิจ ผู้มีอิทธิพลในเมืองไทย” นายธาริต กล่าว
นายธาริต กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดที่ต้องรับผิดชอบในกรณีของซานติก้าผับจะต้องดำเนินการอย่างจริงจังกันทั้งระบบ ไม่ว่าผู้เกี่ยวข้องจะเป็นเอกชนหรืออยู่ในระบบราชการ เพราะต้นเหตุที่เกิดโศกนาฏกรรมในเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงมือจุดพลุที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาเพียงคนเดียว แต่เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมทั้งหมดที่ไม่ยอมดูแลสถานที่ให้มีความปลอดภัย และเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าทุกฝ่ายปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเองอย่างดีเข้มแข็ง ภาครัฐก็ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายดำเนินการรักษาความปลอดภัยและความสงบของบ้านเมือง ฝ่ายผู้ประกอบการก็เห็นแก่ความปลอดภัยและถูกต้อง
“ผู้เสียหายในคดีซานติก้านี้ควรยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการ โดยมีองค์กร หรือมูลนิธิหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคมาทำหน้าที่ในการประสานงานให้ โดยการยื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นตำรวจ กระทรวงมหาดไทย กทม.นำตัวผู้ร่วมกระทำผิดทั้งหมดในทุกภาคส่วนมาดำเนินการ โดยอาจร้องไปยัง ป.ป.ท. หรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)” นายธาริต กล่าว
นายธาริต กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้หากผู้ต้องหาในคดีอาญาหลุดคดี ย่อมหมายความถึงว่าจะหลุดคดีแพ่งด้วยเช่นกัน แม้ว่าคำพิพากษาของศาลจะตัดสินให้ผู้เสียหายจะได้ค่าสินไหมชดเชยจากจำเลย แต่กระบวนการในการบังคับคดีของไทยแยกส่วนกันกับการพิจารณาคดี ก็มีคดีอีกมากมายที่ผู้เสียหายได้ค่าสินไหมเป็นเพียงตัวเลขจากคำพิพากษาของศาล แต่กลับสามารถบังคับคดีกับจำเลยได้เลย
“จนถึงขณะนี้แม้มีการออกคำสั่งให้นายวรพจน์ อินทุลักษณ์ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา และนายสุรเกียรติ ลิ้มเจริญ ผู้อำนวยการเขตปทุมวันอดีตผู้อำนวยการเขตวัฒนามาปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการสำนักปลัดกรุงเทพมหานครตั้งแต่สิ้นเดือนม.ค. แต่ก็ยังไม่มีการระบุว่ามีความผิดหรืออย่างไร ซึ่งการย้ายผู้อำนวยการเขตก็เป็นการแสดงว่าจะมีการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ก็เป็นเพียงการแสดงความจริงจังในการแก้ไขปัญหาระดับเดียวเท่านั้น ซึ่งในส่วนอื่นอย่างตำรวจจะแสดงความจริงจังในการแก้ไขปัญหาอย่างไรนั้นไม่ขอแสดงความคิดเห็น แต่ก็ต้องคอยติดตามต่อไปว่าคดีดังกล่าวจะเป็นอย่างไร ผู้ต้องหาคดีนี้จะหลุดคดีอาญาหรือไม่” นายธาริต กล่าว
นายชาตินัย เนาวภูต ผู้อำนวยการสำนักการโยธา (สนย.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเหตุเพลิงไหม้ซานติก้า ผับ โดยวันนี้มีผู้แทนจากกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ร่วมหารือว่า ที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นการสอบสวนทั้งของ กทม. และของกระทรวงยุติธรรม พบว่าข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมค่อนข้างที่จะลึกกว่าของ กทม. ซึ่งในส่วนของ กทม.มุ่งตรวจสอบเพียงประเด็นความถูกต้องของอาคาร หลังจากปลัด กทม.แต่งตั้งให้ทำการสอบสวนเกี่ยวกับกฎหมายอาคาร ดังนั้นคณะกรรมการฯ จึงต้องมาพิจารณาว่าจะสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นอะไรบ้าง
นายชาตินัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของผลการสอบสวนของคณะทำงานกระทรวงยุติธรรมที่ระบุว่ามีการปลอมลายเซ็นวิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้างอาคารซานติก้าผับนั้น คณะกรรมการฯ ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบ ซึ่งเรื่องไหนที่ กทม.ยังไม่ตรวจสอบคงจะต้องมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติม คาดว่าคงต้องเชิญมาสอบอีกหลายปาก อย่างไรก็ตามได้มอบหมายให้คณะกรรมการฯ กลับไปพิจารณาข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมอีกครั้ง เพื่อพิจารณาดูว่าประเด็นใหม่จะเกี่ยวพันกับข้าราชการคนใดบ้าง ทั้งนี้หากคณะกรรมการฯ ดำเนินการสอบไม่ทันภายใน 15 วันที่ขอขยายเวลามาแล้ว คงต้องเสนอขอขยายเวลาจากปลัด กทม. อีกครั้ง
ผอ.สำนักการโยธา กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธา เขตวัฒนา ซึ่งทำหน้าที่เป็นนายตรวจแต่เกษียณราชการไปแล้วไม่เข้ามาให้ปากคำกับคณะกรรมการฯ ทั้งที่ประสานเชิญไปหลายครั้งแล้วนั้น คงต้องสอบถามฝ่ายกฎหมายอีกครั้งว่าการไม่ให้ความร่วมมือจะสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง