xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวเด่นการศึกษาปี 51 “โกงไฮเทค-อาจารย์หื่น-จับแบบเรียนเถื่อน” “รีดแปะเจี๊ยะ-ค้านสร้างรัฐสภาใหม่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ถึงเวลาต้องบอกลาปีหนู เพื่อต้อนรับปีวัวที่จะมาถึงในปี 2552 รอบปีที่ผ่านมาประเทศไทย ถือว่ามีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ในแวดวงการศึกษาก็เช่นกัน แม้ว่าจะถูกกระแสข่าวทางด้านการเมืองที่คุกรุ่นตลอดปีกลบ จนทำให้ดูเงียบเหงาลงไปบ้าง แต่หากย้อนกลับไปทบทวนดู จะพบว่าข่าวสารทางด้านการศึกษาที่เกิดขึ้นในรอบปี มีหลายเรื่องที่ต้องบันทึกเอาไว้ว่าเป็นเหตุการณ์เด่นประจำปี 2551 ที่กำลังจะโบกมือลาจากไป

** โกงสอบโอเน็ตไฮเทคด้วยนาฬิกามือถือ
เริ่มต้นปี 2551 ไม่ทันไร วงการศึกษาก็ต้องเจอกับเรื่องสะเทือนใจ เมื่อพบว่าการจัดทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ปีการศึกษา 2550 ระหว่างวันที่ 29 ก.พ.- 4 มี.ค.2551โดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) พบการทุจริตการสอบทั้งสิ้นถึง 6 รายด้วยกัน ที่สำคัญ ในจำนวนนักเรียนที่ทุจริตการสอบครั้งนี้ ใช้วิธีการทุจริตที่สุดแสนไฮเทค โดยพกพานาฬิกามือถือเข้าห้องสอบ ซึ่งหากไม่ได้ติดตามข่าวสารด้านเทคโนโลยี มองเผินๆ ผู้คุมสอบอาจจะไม่ทราบเลยว่านาฬิกาที่นักเรียนสวมใส่เข้าห้องสอบนั้น คือ มือถือ
 
โดยนักเรียนรายนี้ได้ซื้อนาฬิกามือถือมาเตรียมไว้สำหรับการทุจริตสอบโอเน็ตโดยเฉพาะ ซึ่งระหว่างการทำข้อสอบนั้น จะมีผู้ส่งข้อความคำตอบของข้อสอบเข้ามายังนาฬิกามือถือ อย่างไรก็ตาม ผู้คุมสอบได้สังเกตเห็นว่านักเรียนรายดังกล่าวดูเวลาบ่อยครั้งจนผิดสังเกต จึงสามารถจับได้ว่ามีการทุจริตสอบเกิดขึ้น และพบด้วยว่า นักเรียนรายดังกล่าวได้ทำการทุจริตลักษณะเดียวกันในการสอบโอเน็ตครั้งนี้มาแล้วถึง 4 วิชา และเชื่อได้ว่า การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นกระบวนการ
นายกำธร เชิดชูเกียรติ” อายุ 33 ปี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มธ. ศูนย์รังสิต
หลังจากนั้น สทศ.ได้มีการทบทวนแนวทางปฏิบัติสำหรับการเข้าสอบโอเน็ต และได้มีคำสั่งห้ามนักเรียนที่เข้าสอบสวมใส่นาฬิกาหรือนำเครื่องมือสื่อสารใดๆ เข้าห้องสอบ หรือหากนำเข้าไปในห้องสอบก็ต้องปิดเครื่องมือสื่อสารเหล่านั้นทั้งหมด ส่วนนักเรียนรายที่ทุจริตในห้องสอบนั้น สทศ.ได้ลงโทษปรับตกหมดทุกวิชาที่สมัครสอบ พร้อมกันนั้น ยังได้ทำหนังสือแจ้งไปยังมหาวิทยาลัยทุกแห่งทั่วประเทศถึงพฤติกรรมการทุจริตของนักเรียน เพื่อใช้พิจารณาว่าจะรับเด็กรายดังกล่าวเข้าศึกษาต่อหรือไม่ ส่วนการสืบหาต้นตอผู้ส่งข้อความเข้ามือถือของนักเรียนนั้น ไม่สามารถเอาผิดกับใครได้ เนื่องจากนักเรียนที่กระทำผิดไม่ยอมให้การซัดทอด และหมายเลขมือถือที่ใช้ในการทุจริตนั้น เป็นระบบเติมเงินที่ไม่จำเป็นต้องแจ้งชื่อผู้เปิดใช้บริการ ถือเป็นอุทาหรณ์ทั้งนักเรียนที่คิดจะทุจริตสอบ และผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับกาบจัดสอบโดยถ้วนหน้ากัน

** อาจารย์นกเขารั้วโดม ปะทะ ผศ.ขี้หลี ม.อุบลฯ
ข่าวที่สร้างความสะเทือนใจให้กับคนวงการศึกษาอีกเรื่อง คงไม่พ้นกรณีที่นักศึกษาสาว วิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ม.ธรรมศาสตร์ (มธ.) เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์สวัสดิภาพเด็กเยาวชนและสตรี กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศดส.บช.น.) ให้เข้าจับกุม “นายกำธร เชิดชูเกียรติ” อายุ 33 ปี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มธ.ศูนย์รังสิต ในข้อหากระทำอนาจาร โดยนายกำธรได้ติดต่อให้นักศึกษาคนดังกล่าวไปพบ และแจ้งว่าสอบได้เกรดไม่ดี

จากนั้นได้เสนอให้เธอสำเร็จความใคร่ด้วยปากให้เพื่อแลกเกรด โดย นายกำธร ยอมรับสารภาพว่า เคยทำพฤติกรรมดังกล่าวมาแล้ว 2 ครั้ง เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ “ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์” อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต้องออกมาขอโทษพี่น้องประชาชนไทยทั่วประเทศต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และออกระเบียบมหาวิทยาลัยฯ ห้ามนักศึกษาและอาจารย์อยู่กันตามลำพังสองต่อสอง ส่วนนายกำธรก็ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และให้ออกจากราชการเป้นการรับผลกรรมที่ได้ทำเอาไว้
“ผศ.จักรฤทธิ์ อุทโธ” อายุ 41 ปี อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลฯ
ถัดมาไม่นานเรื่องราวฉาวโฉ่ในรั้วมหาวิทยาลัยก็เกิดขึ้นอีก แต่คราวนี้เป็นที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยผู้ที่ก่อเหตุมีตำแหน่งทางวิชาการเป็นถึง “ผู้ช่วยศาสตราจารย์” ซึ่งเรื่องมาแดงโร่ครึกโครมขึ้น เพราะนักศึกษาหญิงชั้นปีที่ 3 ม.อุบลราชธานี ได้เข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจวารินชำราบให้ดำเนินคดี กับ “ผศ.จักรฤทธิ์ อุทโธ” อายุ 41 ปี อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลฯ ฐานกระทำอนาจาร เนื่องจาก “ผศ.” คนดังกล่าวได้ยื่นข้อเสนอขอร่วมหลับนอนกับนักศึกษาสาวเพื่อแลกกับเกรด ซึ่งในกรณีนี้ฝ่ายเจ้าทุกข์มีคลิปวีดีโอภาพเคลื่อนไหวเป็นหลักฐานสำคัญว่า ผศ.หื่นกามพยายามจะลวนลามนักศึกษาจริง เป็นผลให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยอุบลฯ สั่งสอบวินัยร้ายแรงต่อ ผศ.หื่นกาม ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดำเนินการเอาผิดตามกฏหมายควบคู่กันไป

จากกรณีที่เกิดขึ้นทั้ง 2 กรณีนั้น เป็นผลให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้เปิดรับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับเรื่องชู้สาวที่เกิดขึ้นในสถาบันอุดมศึกษาผ่านทาง www.mua.go.th/clean โดยข้อมูลที่นักศึกษาแจ้งเข้ามานั้น สกอ.จะเก็บเป็นความลับ ซึ่งก็มีนักศึกษาและข้าราชการสนใจส่งเรื่องร้องเรียนเข้ามาเป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม นักวิชาการทางด้านการศึกษาหลายท่านได้เสนอให้มีการปรับปรุงวิธีการประเมินผลการเรียนของนักศึกษาที่ไม่ควรให้อาจารย์ผู้สอนมีอำนาจในการให้คะแนนเด็กมากเกินไป แต่ควรกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน และให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น
ตำราเรียนเถื่อนที่ถูกจับกุม
** จับแบบเรียนเถื่อนองค์การค้าฯ สูญ100ล้านบาท
ว่ากันตามจริงแล้ว การลักลอบพิมพ์แบบเรียนเถื่อนถูกกล่าวขานถึงมานาน แต่ว่ายังไม่เคยมีการจับกุมได้เป็นจริงเป็นจัง แต่เมื่อช่วงต้นปี 2551 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) โดย “จิตรนรา นวรัตน์” อัยการพิเศษ ฝ่ายคดียาเสพติด 5 สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ สกสค.ได้ประสานกับ “พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร” ผู้บัญชาการกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.) ทำการล่อซื้อ และเข้าจับกุมร้านจำหน่ายแบบเรียนเถื่อน ใน 4 จังหวัดพร้อมๆ กัน ได้แก่ จ.ร้อยเอ็ด มหาสารคาม อุดรธานี และ ขอนแก่น โดยสามารถจับกุมผู้กระทำผิดจำหน่ายหนังสือละเมิดลิขสิทธิ์ขององค์การค้าของ สกสค.หรือหนังสือเถื่อนได้ใน จ.ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และ อุดรธานี ส่วนที่ จ.ขอนแก่น ผู้กระทำผิดไหวตัวทันทำให้ไม่สามารถจับกุมได้ ผลการดำเนินการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถริบของกลางเป็นหนังสือแบบเรียนที่ลักลอบพิมพ์ รวม 30,000 เล่ม อาทิ แบบเรียนระดับประถมศึกษา วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย

การเข้าจับกุมผู้กระทำผิดครั้งนี้ สืบเนื่องจากสำนักงานส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) แจ้งยอดการจำหน่ายหนังสือแบบเรียนที่ต่ำกว่าตัวเลขที่ทำการวิจัยได้เป็นจำนวนมาก ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า น่าจะมีการลักลอบพิมพ์แบบเรียนเถื่อนออกจำหน่ายเป็นจำนวนมากในตลาด ดังนั้น องค์การค้าฯ จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบ กระทั่งทราบว่า มีหนังสือแบบเรียนเถื่อนจำหน่ายอยู่ในพื้นที่ใดบ้าง นำมาสู่การล่อซื้อและจับกุมในที่สุด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเอาผิดกับอดีตข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการผู้หนึ่งที่ร่วมอยู่ในกระบวนการดังกล่าวได้ ทว่า ไม่สามารถสาวถึงต้นตอโรงพิมพ์ที่เป็นผู้จัดพิมพ์แบบเรียนเถื่อนได้ ผลการลักลอบพิมพ์แบบเรียนเถื่อนออกมาจำหน่ายครั้งนี้ทำให้องค์การค้าฯ สูญรายได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ถึงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงก่อนเปิดภาคเรียนไปถึง 100 ล้านบาททีเดียว
เด็กๆ โยธินบูรณะบุกไปคัดค้านการย้ายโรงเรียนเพื่อใช้พื้นที่สร้างรัฐสภาแห่งใหม่
** ดีเอสไอเอาจริงร่วมล้างบาง “แปะเจี๊ยะ”
เป็นอีกหนึ่งปัญหายอดนิยมในวงการศึกษา เพราะพอเข้าสู่ช่วงเทศกาลรับนักเรียนทีไร เป็นต้องมีข่าวโรงเรียนยอดนิยมเรียกรับ “แปะเจี๊ยะ” จากผู้ปกครองเพื่อแลกที่นั่งเรียนให้กับลูกหลาน ที่ผ่านมาแทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยมีการเอาผิดกันได้ เนื่องจากผลประโยชน์ลงตัว “เด็กได้ที่เรียน ผู้บริหารได้เงิน” แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องออกมากำชับกวดขันกันอย่างเอาจริงเอาจัง เนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เล่นบทโหดจะเข้าไปตรวจสอบเชิงลึกเกี่ยวกับการเรียกรับเงินของสถานศึกษาชื่อดังต่างๆ ว่า เข้าข่ายเรียกรับเงินแป๊ะเจี๊ยะหรือไม่ โดยเบื้องต้นเล็งไปที่โรงเรียนดัง 4 แห่งในกรุงเทพมหานคร
 
ทั้งนี้ ดีเอสไอ ได้ให้คำนิยามว่า “แปะเจี๊ยะ” คือ เงินสินบน ที่ผู้ปกครองต้องจ่าย จำใจจ่าย หรือยินดีจ่ายให้สถานศึกษาเพื่อให้เด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา ถึงแม้ว่าจะเป็นการบริจาคเงินให้สถานศึกษาอย่างถูกต้อง หากมีเงื่อนไขในการเข้าเรียนก็ถือว่าเป็นแป๊ะเจี๊ยะ และผู้ที่เรียกรับเงินดังกล่าวมีความผิดทางคดีอาญา และมีโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง

ที่สุดหวยไปออกที่ “ร.ร.โยธินบูรณะ” เป็นโรงเรียนแรก เมื่อดีเอสไอได้ขอเข้าไปตรวจสอบบัญชีรายรับ-รายจ่ายของโรงเรียนทั้งสิ้น 13 รายการ โดยขอตรวจสอบย้อนหลังไปถึงปี 2550 ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรการเข้ามาของดีเอสไอทำเอาผู้บริหารโรงเรียนชื่อดังต่างหนาวๆ ร้อนๆ กันเป็นแถว และต้องยกให้เป็นอีกหนึ่งข่าวเด่นในรอบปี 2551

** โยธินบูรณะค้านย้ายโรงเรียนสร้างรัฐสภา
การออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่บนพื้นที่ย่านเกียกกาย กรุงเทพมหานครของนักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะ เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล “นายสมัคร สุนทรเวช” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่มีมติอนุมัติงบประมาณ 4,000 ล้านบาทใช้สำหรับก่อสร้างอาคารรัฐสภาหลังใหม่บนพื้นที่ดังกล่าว ส่งผลให้ต้องมีการย้ายชุมชนโดยรอบที่มีอายุเก่าแก่นับร้อยปี รวมไปถึงหน่วยงานราชการต่างๆ และที่สำคัญ คือ โรงเรียนโยธินบูรณะ ที่มีอายุยาวนานกว่า 70 ปีออกไปด้วย

การเคลื่อนไหวคัดค้านของนักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะ มีทั้งการเดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลกระทรวงศึกษาธิการ และคัดค้านผ่านทางโลกไซเบอร์ตามหน้าเว็บบอร์ดต่างๆ เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าการสร้างอาคารรัฐสภาบนพื้นที่ย่านเกียกกายต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เพราะต้องจ่ายเป็นค่าเวนคืนให้กับชุมชนละแวกนั้น อีกทั้งต้องใช้งบอีกจำนวนหนึ่งสำหรับก่อสร้างสถานที่ราชการและโรงเรียน เพื่อทดแทนของเดิมที่ต้องถูกรื้อถอนไป จึงเห็นว่าควรหาที่ดินว่างเปล่าสำหรับการก่อสร้างอาคารรัฐสภาหลังเก่าแทน อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนรัฐบาลที่มีขึ้นบ่อยครั้งในปีที่ผ่านมา ทำให้เรื่องดังกล่าวถูกชะลอไว้ และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศธ.คนใหม่ ที่เข้ามารับตำแหน่งในช่วงท้ายของปี
** เปลี่ยนตัว รมว.ศธ.ประชานิยมล่มไม่เป็นท่า
หลังการลงจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของ “ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน” ของ “ครม.ขิงแก่” ที่มาจากการรัฐประหารเมื่อปี 2549 แล้ว พรรคพลังประชาชนซึ่งได้ส่ง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เข้ามานั่งเก้าอี้ตัวนี้แทน โดยมี “พงศกร อรรณนพพร” และ “บุญลือ ประเสริฐโสภา” เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งแน่นอนว่าดีกรีของสมชายนั้นหนีไม่พ้นความเป็น “น้องเขย”ของอดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อเข้ามารับตำแหน่ง สมชายจึงเริ่มปลุกผีโครงการประชานิยมต่างๆ ให้คืนชีพมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ที่เดินหน้าไปแล้ว 2 รุ่น โครงการแจกคอมพ์ล้านเครื่อง(1 Labtop per child) หรือการพยายามฟื้นกองทุนเงินกู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) อย่างไรก็ตาม เมื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไป สมชายได้ก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำประเทศแทน กระทรวงศึกษาฯ ได้ “ศรีเมือง เจริญศิริ” มานั่งเป็นหัวเรือใหญ่ การปลุกผีโครงการประชานิยมยังเดินหน้าต่อเนื่อง เพราะพรรคพลังประชาชน เชื่อว่า จะสามารถเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนได้ แต่ทว่างบประมาณที่จะใช้ดำเนินการโครงการต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่มาจากการจำหน่ายสลาก 2 ตัว 3 ตัว เมื่อไม่มีการจำหน่ายหวยบนดินก็ทำให้ไม่มีเงินที่จะนำมาใช้เดินหน้าโครงการ ที่สุดแล้วโครงการประชานิยมต่างๆ มีอันต้องชะลอตัวลงไป

ที่น่าสนใจ ก็คือ นับตั้ง สมชาย มานั่งเก้าอี้ รมว.ศึกษาธิการ เป็นต้นมา กระทรวงศึกษาฯ เหมือนตกอยู่ในความมืดมน เพราะแทบไม่มีการพัฒนาด้านการศึกษาเรื่องใดให้เห็นเป็นรูปธรรรม คงต้องรอดูผลงานของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รมว.ศธ.คนใหม่ ว่า จะทำให้กระทรวงศึกษาฯ มีแสงสว่างขึ้นมาบ้างหรือไม่

ทั้งหมดนี้คือข่าวเด่นที่เกิดขึ้นในรอบปี 2551 ที่ผ่านมา ซึ่งก็หวังว่าปีหน้าวงการศึกษาจะมีแต่เรื่องราวดีๆ ให้พูดถึง
กำลังโหลดความคิดเห็น