ดานอน ทุ่ม 572 ล้านบาท ผุดโรงงานผลิตสินค้าเฟรช แดรี่ ในไทยหวังใช้เป็นฐานผลิตป้อนตลาดอาเซียน รับเปิดเขตเสรีการค้าอาฟต้า ภาษีนำเข้าอาหารเครื่องดื่ม 0% ชูการตลาดขนสินค้าฟังก์ชันนัลบุกคนไทย ลั่นกลองแตกไลน์นมเปรี้ยวผสมจุลินทรีย์แอคทีเวีย อัดงบ 50 ล้านบาท หวังปีแรกโกยแชร์ 10% ส่วนโยเกิร์ตโกยแชร์เพิ่ม 30% รั้งอันดับ 2 ไล่บี้ดัชมิลค์
นายลอรองต์ บัวซิเยร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ดานอน แดรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตแอคทีเวีย เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบ 572ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตเฟรช แดรี่ หรือผลิตภัณฑ์อาหารนมสดในประเทศไทย ที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยในเฟสแรกมีกำลังการผลิต 2.5หมื่นตันต่อปี หลังจากก่อนหน้านี้ผลิตภัณฑ์คัพโยเกิร์ตได้ให้บริษัทดัชมิลค์ เป็นผู้ผลิต
ทั้งนี้คาดว่า กำลังการผลิตจะสามารถรองรับความต้องการของตลาดได้ถึงกลางปี 2554 นี้ ส่วนในเฟสสอง บริษัทวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5หมื่นตันต่อปี ทั้งนี้เพื่อรองรับกับความต้องการทั้งในประเทศ และใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกในภูมิภาคอาเซียน จากการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน มีผลทำให้ภาษีนำเข้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มลดลง 0% คาดว่าจะส่งออกไปยังสิงคโปร์เป็นประเทศแรก แต่ขณะนี้ต้องการสร้างตลาดในประเทศไทยให้แข็งแกร่งก่อน
แผนการตลาดในไทย บริษัทดำเนินการตลาดในเชิงรุก แตกโปรดักส์ไลน์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์เฉพาะด้าน ทั้งนมสำหรับเด็ก สำหรับวัยรุ่น หรือลดคอลเลสเตอรอล ภายใต้แบรนด์อื่นๆ ซึ่งล่าสุดได้ทุ่มงบ 50ล้านบาท เปิดตัวนมเปรี้ยวผสมจุลินทรีย์แอคทิเรกูลาริสภายใต้แบรนด์แอคทีเวีย ซึ่งเป็นสูตรไขมัน 0% และได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อจำหน่ายในประเทศไทยแห่งแรก
โดยการเปิดตัวนมเปรี้ยวผสมจุลินทรีย์ในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพโดยมีมูลค่า 9,100ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 65% จากตลาดผลิตภัณฑ์อาหารนมสด 1.4หมื่นล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 30%
โดยบริษัทดำเนินตลาด 360องศา มุ่งเน้นการสื่อสารเต็มรูปแบบผ่าน ทั้งนิตยสาร ภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ และใช้สื่อบนรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อป้อนข้อมูลความรู้เกี่ยวกับจุลินทรีย์แอคทิเรกูลาริส พร้อมจัดกิจกรรมทดลองชิมผลิตภัณฑ์ ในระยะ 2 -3เดือน ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ขนาด 160 มล. ราคา 11 บาท ซึ่งปัจจุบันนมเปรี้ยวผสมจุลินทรีย์ในตลาดรวมมีวางจำหน่ายด้วยกัน 2ช่องทาง คือ รูปแบบขายตรง 30% และโมเดิร์นเทรด 70% สำหรับเป้าหมายปีแรกตั้งเป้ามีส่วนแบ่ง 10% ซึ่ง บีทาเก้น เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% ยาคูลท์ 20%
พร้อมกันนี้บริษัทยังได้รีลอนช์คัพโยเกิร์ตใหม่ โดยได้มีการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ รสชาติ และโลโก้ใหม่ เพื่อให้ภาพลักษณ์ดูทันสมัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้เพิ่มรสมะพร้าว จากเดิมมีด้วยกัน 3รสชาติ และวางแผนกระตุ้นให้คนไทยกินโยเกิร์ตเพิ่มจาก 4กิโลกรัม เพิ่มเป็น 6 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ภายใน 3ปีข้างหน้านี้ โดยมองว่าตลาดในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะพฤติกรรมการกินยังมีไม่มาก เมื่อเทียบกับยุโรปการบริโภค 30 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และประเทศญี่ปุ่น 12 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
สำหรับตลาดคัพโยเกิร์ตมูลค่า 3,500 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 30% โดยการแข่งขันในตลาดผู้ประกอบการหันมาชูด้านฟังก์ชันนัลหรือคุณประโยชน์เฉพาะด้านมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันดัชมิลค์เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 70% ขณะที่แอคทีเวีย มีส่วนแบ่ง 15% เป็นอันดับ 2 ของตลาด และคาดว่าสิ้นปีมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 30% หรือมีรายได้ 1,000ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาราว 500 ล้านบาท
นายลอรองต์ บัวซิเยร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ดานอน แดรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตแอคทีเวีย เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบ 572ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตเฟรช แดรี่ หรือผลิตภัณฑ์อาหารนมสดในประเทศไทย ที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยในเฟสแรกมีกำลังการผลิต 2.5หมื่นตันต่อปี หลังจากก่อนหน้านี้ผลิตภัณฑ์คัพโยเกิร์ตได้ให้บริษัทดัชมิลค์ เป็นผู้ผลิต
ทั้งนี้คาดว่า กำลังการผลิตจะสามารถรองรับความต้องการของตลาดได้ถึงกลางปี 2554 นี้ ส่วนในเฟสสอง บริษัทวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5หมื่นตันต่อปี ทั้งนี้เพื่อรองรับกับความต้องการทั้งในประเทศ และใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกในภูมิภาคอาเซียน จากการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน มีผลทำให้ภาษีนำเข้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มลดลง 0% คาดว่าจะส่งออกไปยังสิงคโปร์เป็นประเทศแรก แต่ขณะนี้ต้องการสร้างตลาดในประเทศไทยให้แข็งแกร่งก่อน
แผนการตลาดในไทย บริษัทดำเนินการตลาดในเชิงรุก แตกโปรดักส์ไลน์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์เฉพาะด้าน ทั้งนมสำหรับเด็ก สำหรับวัยรุ่น หรือลดคอลเลสเตอรอล ภายใต้แบรนด์อื่นๆ ซึ่งล่าสุดได้ทุ่มงบ 50ล้านบาท เปิดตัวนมเปรี้ยวผสมจุลินทรีย์แอคทิเรกูลาริสภายใต้แบรนด์แอคทีเวีย ซึ่งเป็นสูตรไขมัน 0% และได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อจำหน่ายในประเทศไทยแห่งแรก
โดยการเปิดตัวนมเปรี้ยวผสมจุลินทรีย์ในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพโดยมีมูลค่า 9,100ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 65% จากตลาดผลิตภัณฑ์อาหารนมสด 1.4หมื่นล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 30%
โดยบริษัทดำเนินตลาด 360องศา มุ่งเน้นการสื่อสารเต็มรูปแบบผ่าน ทั้งนิตยสาร ภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ และใช้สื่อบนรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อป้อนข้อมูลความรู้เกี่ยวกับจุลินทรีย์แอคทิเรกูลาริส พร้อมจัดกิจกรรมทดลองชิมผลิตภัณฑ์ ในระยะ 2 -3เดือน ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ขนาด 160 มล. ราคา 11 บาท ซึ่งปัจจุบันนมเปรี้ยวผสมจุลินทรีย์ในตลาดรวมมีวางจำหน่ายด้วยกัน 2ช่องทาง คือ รูปแบบขายตรง 30% และโมเดิร์นเทรด 70% สำหรับเป้าหมายปีแรกตั้งเป้ามีส่วนแบ่ง 10% ซึ่ง บีทาเก้น เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% ยาคูลท์ 20%
พร้อมกันนี้บริษัทยังได้รีลอนช์คัพโยเกิร์ตใหม่ โดยได้มีการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ รสชาติ และโลโก้ใหม่ เพื่อให้ภาพลักษณ์ดูทันสมัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้เพิ่มรสมะพร้าว จากเดิมมีด้วยกัน 3รสชาติ และวางแผนกระตุ้นให้คนไทยกินโยเกิร์ตเพิ่มจาก 4กิโลกรัม เพิ่มเป็น 6 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ภายใน 3ปีข้างหน้านี้ โดยมองว่าตลาดในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะพฤติกรรมการกินยังมีไม่มาก เมื่อเทียบกับยุโรปการบริโภค 30 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และประเทศญี่ปุ่น 12 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
สำหรับตลาดคัพโยเกิร์ตมูลค่า 3,500 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 30% โดยการแข่งขันในตลาดผู้ประกอบการหันมาชูด้านฟังก์ชันนัลหรือคุณประโยชน์เฉพาะด้านมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันดัชมิลค์เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 70% ขณะที่แอคทีเวีย มีส่วนแบ่ง 15% เป็นอันดับ 2 ของตลาด และคาดว่าสิ้นปีมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 30% หรือมีรายได้ 1,000ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาราว 500 ล้านบาท
