ASTVผู้จัดการรายวัน – ซีพี-เมจิ อัด 650 ล้านบาท ลงทุนครั้งใหญ่รอบ 20 ปี เพิ่มกำลังผลิต ขนาดบรรจุภัณฑ์ ผุดโรงงานไฟฟ้า รับเศรษฐกิจฟื้น ตลาดนม 3.5 หมื่นล้านบาท โต 10% 2 ปีซ้อน ชี้เปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน ไม่กระทบตลาดนมเมืองไทย แต่เอื้อนมผงนำเข้าราคาถูก ระบุน้ำนมดิบปีนี้ไม่ล้นตลาด จ่อส่งออกเพิ่ม สิ้นปีรายได้รวมโต 20% กวาดเกือบ 3,400 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมพาสเจอร์ไรส์ซีพี-เมจิ เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทวางแผนลงทุนครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ด้วยการใช้งบ 500 ล้านบาท เพื่อรับกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว และแนวโน้มตลาดนมโดยรวมมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท ในปีนี้คาดว่าเติบโต 10% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตถึง 2 ปีซ้อน นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จากปกติตลาดนมมีการเติบโตเพียง 5-6%
อีกทั้งยังรองรับกับการแข่งขันที่มีความรุนแรง จากการที่ยักษ์ใหญ่ในตลาด อาทิ โฟรโมสต์ ออกมากระตุ้นการดื่มนมของคนไทยเพิ่มขึ้น และการรณรงค์การดื่มนมจากทางภาครัฐ ผ่านโครงการนมโรงเรียน ผลักดันให้อัตราการดื่มนมของผู้บริโภคไทยเพิ่มจาก 13 ลิตรต่อคนต่อปี เป็น 14 ล้านลิตรต่อคนต่อปี
สำหรับการลงทุน 500 ล้านบาท แบ่งเป็น สร้างโรงงานไฟฟ้า 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าแล้วเสร็จไตรมาส 3 รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิต เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มกำลังผลิต 100% ในบรรจุภัณฑ์ขนาด 2 ลิตร เจาะกลุ่มเป้าหมายครอบครัว รวมถึงการเพิ่มไลน์ผลิตบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก รองรับกับกำลังการซื้อของผู้บริโภค
พร้อมกันนี้ยังใช้งบการตลาดปีนี้ 150 ล้านบาท ซึ่งรวมแล้วปีนี้ใช้งบ 650 ล้านบาท จากปกติการลงทุนรวมทั้งงบการตลาดบริษัทใช้ราว 200 ล้านบาทเท่านั้น ล่าสุดบริษัทวางแผนรุกตลาดนมเปรี้ยวจุลินทรีย์ภายใต้แบรนด์ไพเก้น เนื่องจากตลาดมูลค่า 3,500ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 30% มากที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดนมอื่นๆ ขณะเดียวกันรุกตลาดนมระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น
นายประสิทธิ์ กล่าวถึงการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนหรืออาฟต้า และมีผลทำให้ภาษีนำเข้าเหลือ 0% ว่า สำหรับกลุ่มนมจะเริ่มมีผลบังคับใช้เดือนมีนาคม นี้ เชื่อว่าไม่ได้สร้างผลกระทบต่อตลาดนมมากนัก เพราะนมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอายุในการเก็บรักษาสั้น โดยเฉพาะพาสเจอร์ไรส์ แต่อาฟต้าส่งผลดีต่อการนำเข้านมผงถูกลง อย่างไรก็ตาม ราคานมผงมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้น จากเมื่อปีที่ผ่านมา 2,000 เหรียญต่อตัน เป็นกว่า 3,000 เหรียญต่อตัน
แนวโน้มดังกล่าวช่วยลดการนำเข้านมผงได้ระดับหนึ่ง และปัญหาน้ำนมมดิบภายในประเทศล้นตลาด ปีนี้คาดว่าจะมีไม่มากนัก เนื่องจากภาครัฐเพิ่มโควต้าโครงการนมโรงเรียน อีกทั้งปีนี้บริษัทมีแนวโน้มซื้อน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น จากการเพิ่มกำลังผลิตกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์ ซึ่งปัจจุบันได้ซื้อน้ำนมดิบ 180 ตันต่อวัน เกินโควต้ารัฐบาลกำหนดคือ 170 ตันต่อวัน
พร้อมกันนี้บริษัทยังวางแผนส่งออกเพิ่มขึ้น หลังจากการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนหรืออาฟต้า จากปัจจุบันส่งออกกลุ่มนมซีพี-เมจิ ในประเทศสิงคโปร์ โดยรายได้จากการส่งออกสัดส่วน 30% ของรายได้รวม 3,300 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดในประเทศ ล่าสุดได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย”เมจิแจก โชคเต็มตาล้นฝาเมจิ ฉลอง 20 ปี แจกจริงทุกวัน” เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน นี้ และตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดนมพาสเจอร์ไรส์ 50% จากมูลค่า 5,000 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้า มีอัตราการเติบโต 20% หรือเกือบ 3,400 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมพาสเจอร์ไรส์ซีพี-เมจิ เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทวางแผนลงทุนครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ด้วยการใช้งบ 500 ล้านบาท เพื่อรับกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว และแนวโน้มตลาดนมโดยรวมมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท ในปีนี้คาดว่าเติบโต 10% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตถึง 2 ปีซ้อน นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จากปกติตลาดนมมีการเติบโตเพียง 5-6%
อีกทั้งยังรองรับกับการแข่งขันที่มีความรุนแรง จากการที่ยักษ์ใหญ่ในตลาด อาทิ โฟรโมสต์ ออกมากระตุ้นการดื่มนมของคนไทยเพิ่มขึ้น และการรณรงค์การดื่มนมจากทางภาครัฐ ผ่านโครงการนมโรงเรียน ผลักดันให้อัตราการดื่มนมของผู้บริโภคไทยเพิ่มจาก 13 ลิตรต่อคนต่อปี เป็น 14 ล้านลิตรต่อคนต่อปี
สำหรับการลงทุน 500 ล้านบาท แบ่งเป็น สร้างโรงงานไฟฟ้า 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าแล้วเสร็จไตรมาส 3 รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิต เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มกำลังผลิต 100% ในบรรจุภัณฑ์ขนาด 2 ลิตร เจาะกลุ่มเป้าหมายครอบครัว รวมถึงการเพิ่มไลน์ผลิตบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก รองรับกับกำลังการซื้อของผู้บริโภค
พร้อมกันนี้ยังใช้งบการตลาดปีนี้ 150 ล้านบาท ซึ่งรวมแล้วปีนี้ใช้งบ 650 ล้านบาท จากปกติการลงทุนรวมทั้งงบการตลาดบริษัทใช้ราว 200 ล้านบาทเท่านั้น ล่าสุดบริษัทวางแผนรุกตลาดนมเปรี้ยวจุลินทรีย์ภายใต้แบรนด์ไพเก้น เนื่องจากตลาดมูลค่า 3,500ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 30% มากที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดนมอื่นๆ ขณะเดียวกันรุกตลาดนมระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น
นายประสิทธิ์ กล่าวถึงการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนหรืออาฟต้า และมีผลทำให้ภาษีนำเข้าเหลือ 0% ว่า สำหรับกลุ่มนมจะเริ่มมีผลบังคับใช้เดือนมีนาคม นี้ เชื่อว่าไม่ได้สร้างผลกระทบต่อตลาดนมมากนัก เพราะนมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอายุในการเก็บรักษาสั้น โดยเฉพาะพาสเจอร์ไรส์ แต่อาฟต้าส่งผลดีต่อการนำเข้านมผงถูกลง อย่างไรก็ตาม ราคานมผงมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้น จากเมื่อปีที่ผ่านมา 2,000 เหรียญต่อตัน เป็นกว่า 3,000 เหรียญต่อตัน
แนวโน้มดังกล่าวช่วยลดการนำเข้านมผงได้ระดับหนึ่ง และปัญหาน้ำนมมดิบภายในประเทศล้นตลาด ปีนี้คาดว่าจะมีไม่มากนัก เนื่องจากภาครัฐเพิ่มโควต้าโครงการนมโรงเรียน อีกทั้งปีนี้บริษัทมีแนวโน้มซื้อน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น จากการเพิ่มกำลังผลิตกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์ ซึ่งปัจจุบันได้ซื้อน้ำนมดิบ 180 ตันต่อวัน เกินโควต้ารัฐบาลกำหนดคือ 170 ตันต่อวัน
พร้อมกันนี้บริษัทยังวางแผนส่งออกเพิ่มขึ้น หลังจากการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนหรืออาฟต้า จากปัจจุบันส่งออกกลุ่มนมซีพี-เมจิ ในประเทศสิงคโปร์ โดยรายได้จากการส่งออกสัดส่วน 30% ของรายได้รวม 3,300 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดในประเทศ ล่าสุดได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย”เมจิแจก โชคเต็มตาล้นฝาเมจิ ฉลอง 20 ปี แจกจริงทุกวัน” เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน นี้ และตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดนมพาสเจอร์ไรส์ 50% จากมูลค่า 5,000 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้า มีอัตราการเติบโต 20% หรือเกือบ 3,400 ล้านบาท