สกศ.เร่งเดินเครื่องพัฒนาเด็กปฐมวัย วางแผนระยะยาวถึงปี 2555 เน้นสื่อพัฒนาเด็กและเสริมความรู้ให้กับพ่อแม่
ดร.สายสุรี จุติกุล ประธานอนุกรรมการสภาการศึกษา เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเด็กปฐมวัยปี 2552-2555 ที่สำนักงานสภาการศึกษา (สกศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ว่า
ที่ประชุมร่วมกันระดมสมองเพื่อกำหนดแนวทางว่าจะดำเนินการในเรื่องใดบ้าง นอกเหนือจากนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยทั่วไป ทั้งนี้ ประเด็นหลักที่ควรเข้าไปขับเคลื่อน ได้แก่ การขอให้ สธ.และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งมีโครงการดูแลเด็กปฐมวัยอยู่ด้วย เช่น โครงการหนังสือเล่มแรก หรือการณรณรงค์ให้ดื่มนมแม่ สนับสนุนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเร้าให้เด็กเกิดการพัฒนาทางสติปัญญาเพิ่มขึ้น ผ่านทางอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม) ของ สธ.ที่เข้าไปดำเนินโครงการต่างๆ
ดร.สายสุรี กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังเห็นว่ าไทยมีองค์ความรู้ด้านการพัฒนาเด็กจำนวนมาก แต่เข้าไม่ถึงพ่อแม่โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ไม่ค่อยอ่านหนังสือ จึงเห็นว่า ต้องสร้างเวทีหรือใช้สื่อที่จะเผยแพร่องค์ความรู้ไปถึงพ่อแม่ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งเราไม่เคยมีการวิจัยถึงการเรียนรู้ของเด็กเกี่ยวกับความเข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่สื่อสารกับเขา ก่อนที่เด็กจะพูดได้ ขณะที่ในต่างประเทศมีการวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการการใช้ภาษาของเด็ก เช่น เด็กอายุ 2 ขวบ มีคำศัพท์ในการสื่อสารอยู่ประมาณ 1,500 คำ เพื่อจะได้เข้าใจพัฒนาการการสื่อสารของเด็กปฐมวัยและส่งเสริมได้ถูกต้อง ตลอดจนการควรส่งเสริมให้มีการผลิตสื่อสำหรับเด็กปฐมวัยเพื่อดู ฟัง หรืออ่านให้มากขึ้นอีกด้วย
“นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นว่า เอกสารประจำตัวเด็กปฐมวัยของกรมอนามัยที่ติดตัวเด็กตั้งแต่แรกคลอด ซึ่งจะมีข้อมูลเด็กทั้งข้อมูลพื้นฐาน และเรื่องสุขภาพ การรับวัคซีน ประวัติการรักษาพยาบาล ควรเป็นข้อมูลที่ติดตัวเด็กไปจนโตถึงระดับประถมศึกษา โดยเอกสารดังกล่าวควรเพิ่มรายละเอียดที่จำเป็นอื่นๆ เกี่ยวกับตัวเด็กเข้าไป และข้อมูลต้องเคลื่อนย้ายระหว่างหน่วยงานได้ เพื่อให้หน่วยงานที่กี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งจะทำให้พ่อแม่ ครู และแพทย์ที่ทำการรักษาเด็กได้ทราบรายละเอียดตั้งแต่แรกคลอด ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก” ดร.สายสุรี กล่าวและว่า
ส่วนงบประมาณในการดำเนินการเรื่องต่างๆ นั้น จะมีการหารือร่วมกันอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการครั้งต่อไปในวันที่ 9 มกราคม 2552 ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีงบประมาณที่สามารถดึงมาใช้ดำเนินการสำหรับพัฒนาเด็กปฐมวัยได้