กองทัพบก กองทัพอากาศ กองทัพเรือ ร่วมมือกับสปสช. ดำเนินโครงการสร้างเสริมสุขภาพกำลังพลของกองทัพไทย มีเป้าหมาย 2 ล้านคน คัดกรองความเสี่ยง เร่งปรับพฤติกรรมเสี่ยง ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ผลักเข้าสู่กระบวนการปรับพฤติกรรม จัดงบ 15 ล้านบาท ให้เห็นผล 1 ปี หวังให้รั้วของชาติและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตดียิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 ที่กระทรวงกลาโหม มีพิธีลงนามข้อตกลงการสร้างเสริมสุขภาพกำลังพลของกองทัพไทย ระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกระทรวงกลาโหมมีกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เป้าหมายสร้างเสริมสุขภาพสำหรับกำลังพลครอบครัว และประชาชนในชุมชนได้เข้าร่วมโครงการเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในการดำเนินการโครงการสร้างเสริมสุขภาพกำลังพลของกองทัพไทยนั้น จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของทั้ง 3 เหล่าทัพเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ ดำเนินการร่วมกับโรงพยาบาลของกองทัพ 59 โรงพยาบาล และสำนักงานแพทย์ของกองทัพ 6 แห่ง กลุ่มเป้าหมายประมาณ 2 ล้านคน จากกำลังพลทุกเหล่าครอบครัวกำลังพลและเยาวชน นักศึกษาวิชาทหาร ผู้เกษียณอายุราชการของกองทัพ และประชาชนที่สนใจ
โดยจะมีการจัดกิจกรรมกลุ่มร่วมกัน มีการตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจคัดกรองพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ การหาปัญหาสุขภาพของกำลังพลและครอบครัว ค้นหากลุ่มที่เป็นโรคและกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ สูบบุหรี่ ดื่มสุรา โรคอ้วน เป็นต้น
“เมื่อได้กลุ่มเสี่ยงแล้วก็จะมีกิจกรรมลด ละ เลิกอบายมุข เช่น บุหรี่ สุรา ยาเสพติด การออกกำลังกาย การลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ และกิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพองค์รวม มีการจัดตั้งศูนย์เยาวชนในหน่วยทหาร เพื่อให้มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชน เช่น จัดทำค่ายเยาวชน การพัฒนาทักษะชีวิต ซึ่งกองทัพไทยตระหนักถึงการสร้างเสริมสุขภาพของกำลังพล” ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าว
พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทการสร้างเสริมสุขภาพกำลังพลของกองทัพไทยที่กองทัพดำเนินการตั้งแต่ปี 2545 กระทั่งได้รับคัดเลือกเป็นหน่วยงานดีเด่นต้นแบบในการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพลซึ่งโครงการนี้จะทำให้กำลังพล ครอบครัวและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นกำลังที่สำคัญของประเทศต่อไป
ขณะที่นายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า สปสช.ร่วมกับกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ดำเนินโครงการสร้างเสริมสุขภาพกำลังพลของกองทัพไทยขึ้น เพื่อให้กำลังพลและครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการได้รับการตรวจสุขภาพ และดำเนินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมพฤติกรรมให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดี โดยมุ่งเน้นกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ช่วยประหยัดงบประมาณของชาติ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี ตั้งแต่ตุลาคม 2551 ถึง กันยายน 2552 สปสช.สนับสนุนงบประมาณ 15 ล้านบาท
ทั้งนี้ มีข้อมูลจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขสำรวจสุขภาวะของคนไทยพบจำนวนคนไทยมปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ 14 ปัจจัยประกอบด้วย สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ สารเสพติด การบริโภคไขมันสูง การออกกำลังน้อย ความเครียดสูง มลพิษทางอากาศ การใช้หมวกและเข็มขัดนิรภัย การบริโภคผักและผลไม้น้อย การบริโภคน้ำตามและเกลือสูง ดัชนีมวลกายสูง(อ้วน) น้ำสะอาดและสุขาภิบาลปลอดภัย การโภชนาการในเด็ก (ขาดสารอาหารและโรคอ้วน) โดยเฉพาะโรคอ้วนเป็น 1ใน 14 ปัจจัยเสี่ยงที่มีอัตราความชุกของโรคสูงขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในประชากรกลุ่มวัยทำงานอายุ 30-60 ปี เสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังได้ ทั้ง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อปัญหาทางด้านจิตใจ สังคม เป็นผลก่อให้เกิดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องการรักษาพยาบาลจำนวนมาก เป็นต้น
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 ที่กระทรวงกลาโหม มีพิธีลงนามข้อตกลงการสร้างเสริมสุขภาพกำลังพลของกองทัพไทย ระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกระทรวงกลาโหมมีกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เป้าหมายสร้างเสริมสุขภาพสำหรับกำลังพลครอบครัว และประชาชนในชุมชนได้เข้าร่วมโครงการเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในการดำเนินการโครงการสร้างเสริมสุขภาพกำลังพลของกองทัพไทยนั้น จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของทั้ง 3 เหล่าทัพเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ ดำเนินการร่วมกับโรงพยาบาลของกองทัพ 59 โรงพยาบาล และสำนักงานแพทย์ของกองทัพ 6 แห่ง กลุ่มเป้าหมายประมาณ 2 ล้านคน จากกำลังพลทุกเหล่าครอบครัวกำลังพลและเยาวชน นักศึกษาวิชาทหาร ผู้เกษียณอายุราชการของกองทัพ และประชาชนที่สนใจ
โดยจะมีการจัดกิจกรรมกลุ่มร่วมกัน มีการตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจคัดกรองพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ การหาปัญหาสุขภาพของกำลังพลและครอบครัว ค้นหากลุ่มที่เป็นโรคและกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ สูบบุหรี่ ดื่มสุรา โรคอ้วน เป็นต้น
“เมื่อได้กลุ่มเสี่ยงแล้วก็จะมีกิจกรรมลด ละ เลิกอบายมุข เช่น บุหรี่ สุรา ยาเสพติด การออกกำลังกาย การลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ และกิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพองค์รวม มีการจัดตั้งศูนย์เยาวชนในหน่วยทหาร เพื่อให้มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชน เช่น จัดทำค่ายเยาวชน การพัฒนาทักษะชีวิต ซึ่งกองทัพไทยตระหนักถึงการสร้างเสริมสุขภาพของกำลังพล” ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าว
พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทการสร้างเสริมสุขภาพกำลังพลของกองทัพไทยที่กองทัพดำเนินการตั้งแต่ปี 2545 กระทั่งได้รับคัดเลือกเป็นหน่วยงานดีเด่นต้นแบบในการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพลซึ่งโครงการนี้จะทำให้กำลังพล ครอบครัวและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นกำลังที่สำคัญของประเทศต่อไป
ขณะที่นายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า สปสช.ร่วมกับกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ดำเนินโครงการสร้างเสริมสุขภาพกำลังพลของกองทัพไทยขึ้น เพื่อให้กำลังพลและครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการได้รับการตรวจสุขภาพ และดำเนินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมพฤติกรรมให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดี โดยมุ่งเน้นกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ช่วยประหยัดงบประมาณของชาติ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี ตั้งแต่ตุลาคม 2551 ถึง กันยายน 2552 สปสช.สนับสนุนงบประมาณ 15 ล้านบาท
ทั้งนี้ มีข้อมูลจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขสำรวจสุขภาวะของคนไทยพบจำนวนคนไทยมปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ 14 ปัจจัยประกอบด้วย สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ สารเสพติด การบริโภคไขมันสูง การออกกำลังน้อย ความเครียดสูง มลพิษทางอากาศ การใช้หมวกและเข็มขัดนิรภัย การบริโภคผักและผลไม้น้อย การบริโภคน้ำตามและเกลือสูง ดัชนีมวลกายสูง(อ้วน) น้ำสะอาดและสุขาภิบาลปลอดภัย การโภชนาการในเด็ก (ขาดสารอาหารและโรคอ้วน) โดยเฉพาะโรคอ้วนเป็น 1ใน 14 ปัจจัยเสี่ยงที่มีอัตราความชุกของโรคสูงขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในประชากรกลุ่มวัยทำงานอายุ 30-60 ปี เสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังได้ ทั้ง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อปัญหาทางด้านจิตใจ สังคม เป็นผลก่อให้เกิดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องการรักษาพยาบาลจำนวนมาก เป็นต้น
