“เฉลิม” รับบินกินข้าวเย็น กับ “ทักษิณ” ที่ฮ่องกงจริง ยันเห็น แม้ว-หญิงอ้อ ยังรักกัน หัวเราะต่อกระซิกสนิทสนม แต่ไม่รู้หย่าเพราะอะไร ชี้ โฟนอินแม้ว ไม่ได้สร้างความขัดแย้ง โดนด่าก็ต้องสวนกลับบ้าง พ้อยังรักเคารพ “สนธิ” เพราะสนิทกัน แต่ สนธิ ไปไกล ไล่กลับไปวิปัสสนาเข้าวัด พร้อมปฏิเสธนั่ง นายกฯ-รองนายกฯ อยู่ สธ.มีความสุขดีอยู่แล้ว ลั่นเลือกตั้งครั้งหน้า พปช.ชนะขาด ทักษิณ บารมีล้นยังขายได้ ท่องบทสวดธรรมกาย “ชิ ตัง เม” เราชนะแล้ว
วันที่ 17 พฤศจิกายน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้เดินทางไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยานายกรัฐมนตรี ที่ประเทศฮ่องกง แต่ไม่บอกว่าไปกับใครบ้าง เดินทางไปอย่างไร ซึ่งข่าวที่บอกว่าตนไปกับนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยนั้น ตนไม่เจอ นายเนวิน ที่นั่น ส่วนการทานข้าวเย็นก็ไม่ได้พูดคุยกันเรื่องการเมือง รวมถึงเรื่องส่วนตัวต่าง แต่คุยเรื่องเก่าๆ ในอดีตเท่านั้น
“ผมไม่มีเบอร์ติดต่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ไหนก็ไม่ทราบ แต่ไม่บอกว่าติดต่ออย่างไร ที่ผ่านมา ทราบว่า ท่านมาใกล้ๆ ก็จะแวะไปร่วมทานข้าวด้วย เคยร่วมทานข้าวแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ลอนดอน ครั้งที่สองที่ฮ่องกง และล่าสุด ก็ที่ฮ่องกง เพราะสนิทกัน รู้จักกันมานาน ส่วนเรื่องการหย่าร้าง เท่าที่เห็นวันที่ไปกินข้าวก็เห็นท่านยังพูดคุย สนิทสนมหัวเราะต่อกระซิก ไม่น่ามีอะไรนำไปสู่การหย่าร้างได้ ผมมารู้จากสื่อมวลชนทีหลัง ว่า หย่ากันตอนกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว”ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า การหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ไม่มีใครได้ประโยชน์เสียประโยชน์ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องคดีและทรัพย์สิน ซึ่งหากหย่าจริงก็แปลว่า หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำนิติกรรมสัญญาก็ไม่ต้องขอความเห็นชอบใดๆ จากอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น และสินสมรสก็แบบกันคนละครึ่ง คนที่มาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เป็นพวกอวดรู้สู่ฉลาด ถ้าสังคมไทยไปตามกระแสก็จะไปได้เพียงระยะสั้น แต่ถ้าระยะยาวบ้านเมืองจะเสียหาย เป็นกระบวนการทำลายความชอบธรรมของคนที่ถูกกล่าวหา ซึ่งจะเกิดความเสียหาย เหมือนกับกรณีที่ดินรัชดาภิเษก ซึ่งวันนี้ได้คืนที่ดินไปแล้ว จึงอย่าไปซ้ำเติมในเรื่องนี้อีกเลย เพราะไม่ใช่การทุจริต แต่เป็นการทำผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า การหย่าร้างเป็นไพ่ใบสุดท้ายในการแก้เกมการเมืองหรือไม่นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถาม พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเท่านั้น จึงได้คำตอบที่ดีที่สุด ถามคนอื่นไปก็เท่านั้น เพราะไม่รู้ว่าตอบไปก็ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่ที่รู้คือ คุณหญิงพจมาน ไม่ชอบเรื่องการเมือง ไม่อยากให้เล่นการเมือง ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ก็รู้จักสนิทกันกับตั้งแต่เป็นสมัยนายตำรวจที่กรมตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นคนที่สู้ชีวิต มีกฎกติกามีเหตุผล แต่ไม่ยอมคน ส่วนที่มีข่าวว่ามาเคลื่อนไหวเรื่องการเมือง น่าจะเป็นเพียงประเด็นโจมตีของสื่อมวลชนเท่านั้น และก็ไม่ทราบด้วยว่า หย่าเพื่อเตรียมตัวเล่นการเมืองหรือไม่
ต่อข้อถามว่า การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้เกิดความขัดแย้งของสังคมให้รุนแรงขึ้นหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตั้งแต่หลังจากการปฏิวัติ ปี 2549 มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง กล่าวหาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอด ใครจะรับได้ หากถูกกล่าวหาเพียงฝ่ายเดียว ก็ต้องออกมาชี้แจงบ้าง ซึ่งการโฟนอินในครั้งนั้น ก็มองไม่เห็นว่าจุดใดที่ไม่เหมาะสม ซึ่งตำรวจผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบของบ้านเมืองก็วินิจฉัยว่าไม่ผิด มีแต่ทนายที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ออกมาแปลความว่าผิด โดยเฉพาะทนายทำหน้าที่ปรึกษาลูกความ หากผิดก็แก้ให้ถูก ถ้าถูกก็ทำให้แน่นยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้คดีทุกอย่างอยู่ในชั้นศาลแล้ว เว้นแต่จะออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม เรื่องจึงจะจบ โดยออกเป็นพระราชกำหนด หรือพระราชบัญญัติ โดยให้กฎหมายเป็นตัวชี้ขาดและยุติปัญหาทั้งหมด
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ขณะนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หมดความชอบธรรมในการชุมนุมแล้ว เพราะการเมืองใหม่ ที่ให้มีการแต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 ไม่เป็นที่ยอมรับ เอาเหตุผลมาใช้ดีกว่า ตอนนี้ก็เลิกฟังพันธมิตรฯ พูดแล้ว เพราะมีแต่การพูดจาหยาบคาย หากบันทึกเทปที่เวทีพันธมิตรฯ ว่าจะมาแจ้งจับเรื่องหมิ่นประมาทก็คงหาทนายไม่พอ เพราะในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา หากจะฟ้องร้องคงทำได้ 200 กว่าคดี แต่ของตนและครอบครัวมี 3-4 คดีเท่านั้น 1 ฟ้อง นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม.ขึ้นเวทีปราศรัย 28 นาที ด่าผม 17 ข้อ และแจ้งจับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ จะได้รำลึกถึงกันถึงความหลังครั้งเก่า
“ผมโดนด่าแหลกลาญ แต่สุดท้ายจะถอนฟ้องให้ เพราะผมรู้จักกับ คุณสนธิ มาตั้งแต่ปี 2517 คุณสนธิ บอกว่า ผมเป็นหนี้บุญคุณเขาใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดนั้น ผมก็จำไม่ได้จริงๆ ว่า ไปเป็นหนี้บุญคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้ความเห็นทางการเมืองจะไม่ตรงกัน แต่ คุณสนธิ ก็ไปไกลแล้ว นุ่งขาวห่มขาว เดินพรมน้ำมนต์ เข้าถึงโลกุตระ จะแก้แต่มนต์เขมร ไม่แก้มนต์พม่าบ้าง ก็อยากให้กลับเข้าวัดเข้าอาศรมไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานให้ลูกชายมาบริหารงานแทนจะดีกว่า ขอฝากบอก คุณสนธิ ด้วยว่า รมว.สธ.ยังรักและเคารพอยู่ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่ยังรักกัน”ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า การที่พันธมิตรฯ กล่าวหาว่า รัฐบาล หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่จงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์ ยืนยันว่า ไม่มีรัฐบาลชุดไหนเป็นแบบนั้น ให้หยุดการกล่าวหา เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายตำรวจรับกระบี่จากพระหัตถ์ และยังต้องปฏิญาณตนและถวายความจงรักภักดีเป็นที่ตั้งทุกเช้าเย็นอยู่แล้ว รวมถึงคณะรัฐมนตรีก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และต้องเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณด้วย
“ผมจบการศึกษาจากเมืองไทย ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมีตรงไหนที่ขาดความจงรักภักดี ผมและ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยคุยว่าจงรักภักดีกว่าคนอื่น เพราะเชื่อว่าพสกนิกรชาวไทยทุกคนถวายความจงรักภักดี แต่คนที่ออกมาพูดเคยทำอะไรให้ประจักษ์บ้างก็ไม่มี พูดแต่ปากเท่านั้น โจมตีอย่างนี้ได้อย่างไร แค่คิดก็ผิดแล้ว จึงอยากให้เรื่องนี้จบ และการเมืองไทยสมัครสมานสามัคคีได้ถ้าคนไทยเข้าใจกันและเชื่อว่าความขัดแย้งทางสังคมไทย คงไม่เอาถึงเป็นถึงตาย คนไทยคงไม่มีการนองเลือด ไม่ฆ่ากันเอง” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงกระแสข่าวว่ามีรายชื่อติดโผเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ยังไม่เคยคิดในเรื่องนี้ ตนอยู่เป็น รมว.สธ.ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ส่วนการที่จะไปเป็นรองนายกฯ หรือนายกฯ นั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะอาวุโสน้อยและไม่เป็นแกนนำพรรค อีกทั้งยังมีคนที่เหมาะสมกว่า ส่วนจะเป็นใครไม่ขอเสนอความเห็น เพราะเป็นเรื่องสมาชิกพรรค ขณะนี้ยังไม่มีใครมาทาบทามทั้งนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ที่ว่างอยู่ คนพูดอาจดูรายชื่อจากคนที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีอยู่หลายคน
“หากพรรคถูกยุบก็เหมือนกับการเปลี่ยนเรือเท่านั้น ไม่มีผลอะไร ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาอาจไม่เหมือนกับกรณีพรรคไทยรักไทยก็ได้ โดยอาจเป็น 2 กรณีที่ 1 ไม่ยุบพรรค 2 ยุบพรรคแต่ไม่ตัดสิทธิ์ทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ หากยุบพรรคจริง ก็มีพร้อมที่จะลาออกไปอยู่พรรคเพื่อไทย เพราะที่พรรคพลังประชาชนไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยกลับมาลงเลือกตั้งก็เชื่อว่าจะได้คะแนนเสียงจากประชาชนให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกเช่นเดิม เพราะบารมีของพ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่และขายได้ และประชาชนก็ยังชื่นชม เชื่อว่า จะชนะขาดแน่นอน และยังต้องเสริมเก้าอี้ในการประชุมสมาชิกพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งด้วยซ้ำ ภาคใต้และกทม.ก็เอาไปเลย แถมยังไม่ได้ไม่หมดด้วยซ้ำ แต่ภาคเหนือและอีสานเป็นของพลังประชาชนแน่นอน” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ในการหาเสียงครั้งต่อไป ตนเองจะใช้กลยุทธ์เช่นเดิม ถ้าเลือกพลังประชาชน หรือ เพื่อไทย ก็จะยืนยันแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากไม่ต้องการแก้ก็ไม่ต้องเลือก ทั้งนี้เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญที่มีหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าแก้ไขเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลุดคดี อยากบอกว่าเป็นคนละเลือกกัน จะแก้รัฐธรรมนูญก็บอกกันตรงๆ ไม่มีแอบแฝงซ่อนเร้น และเชื่อว่ายังมีคนที่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่มาก ในการหาเสียงก็จะต้องอาศัยบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชูไอเดีย นโยบายเดิม เชื่อว่า ยังขายได้และชนะขาดในการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน ถ้าเป็นลูกศิษย์ธรรมกายคงต้องบอกว่า “ชิ ตัง เม” เราชนะแล้ว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ส่วนการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลนั้น ได้เสนอให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีลงนาม เพื่อสรรหาคณะกรรมการเพิ่มในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติแล้ว เพื่อให้ครบองค์ประชุมตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งแม้ว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้จะมาตรการห้ามขาย แอลกอฮอล์จะยังไม่ครอบคลุมแต่ไม่ใช่ สธ.ไม่มีแผนในการรับมือ นอกจากนี้ ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) วิเคราะห์อย่างเป็นระบบว่า เครื่องดื่มชูกำลังที่มส่วนผสมของกาเฟอีนเกิน 100 มิลลิกรัม ว่ามีโทษต่อร่างกายอย่างไรหรือไม่ และได้สั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้น 1 ชุด เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนออกกำลังกายด้วย
วันที่ 17 พฤศจิกายน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้เดินทางไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยานายกรัฐมนตรี ที่ประเทศฮ่องกง แต่ไม่บอกว่าไปกับใครบ้าง เดินทางไปอย่างไร ซึ่งข่าวที่บอกว่าตนไปกับนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยนั้น ตนไม่เจอ นายเนวิน ที่นั่น ส่วนการทานข้าวเย็นก็ไม่ได้พูดคุยกันเรื่องการเมือง รวมถึงเรื่องส่วนตัวต่าง แต่คุยเรื่องเก่าๆ ในอดีตเท่านั้น
“ผมไม่มีเบอร์ติดต่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ไหนก็ไม่ทราบ แต่ไม่บอกว่าติดต่ออย่างไร ที่ผ่านมา ทราบว่า ท่านมาใกล้ๆ ก็จะแวะไปร่วมทานข้าวด้วย เคยร่วมทานข้าวแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ลอนดอน ครั้งที่สองที่ฮ่องกง และล่าสุด ก็ที่ฮ่องกง เพราะสนิทกัน รู้จักกันมานาน ส่วนเรื่องการหย่าร้าง เท่าที่เห็นวันที่ไปกินข้าวก็เห็นท่านยังพูดคุย สนิทสนมหัวเราะต่อกระซิก ไม่น่ามีอะไรนำไปสู่การหย่าร้างได้ ผมมารู้จากสื่อมวลชนทีหลัง ว่า หย่ากันตอนกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว”ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า การหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ไม่มีใครได้ประโยชน์เสียประโยชน์ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องคดีและทรัพย์สิน ซึ่งหากหย่าจริงก็แปลว่า หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำนิติกรรมสัญญาก็ไม่ต้องขอความเห็นชอบใดๆ จากอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น และสินสมรสก็แบบกันคนละครึ่ง คนที่มาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เป็นพวกอวดรู้สู่ฉลาด ถ้าสังคมไทยไปตามกระแสก็จะไปได้เพียงระยะสั้น แต่ถ้าระยะยาวบ้านเมืองจะเสียหาย เป็นกระบวนการทำลายความชอบธรรมของคนที่ถูกกล่าวหา ซึ่งจะเกิดความเสียหาย เหมือนกับกรณีที่ดินรัชดาภิเษก ซึ่งวันนี้ได้คืนที่ดินไปแล้ว จึงอย่าไปซ้ำเติมในเรื่องนี้อีกเลย เพราะไม่ใช่การทุจริต แต่เป็นการทำผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า การหย่าร้างเป็นไพ่ใบสุดท้ายในการแก้เกมการเมืองหรือไม่นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถาม พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเท่านั้น จึงได้คำตอบที่ดีที่สุด ถามคนอื่นไปก็เท่านั้น เพราะไม่รู้ว่าตอบไปก็ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่ที่รู้คือ คุณหญิงพจมาน ไม่ชอบเรื่องการเมือง ไม่อยากให้เล่นการเมือง ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ก็รู้จักสนิทกันกับตั้งแต่เป็นสมัยนายตำรวจที่กรมตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นคนที่สู้ชีวิต มีกฎกติกามีเหตุผล แต่ไม่ยอมคน ส่วนที่มีข่าวว่ามาเคลื่อนไหวเรื่องการเมือง น่าจะเป็นเพียงประเด็นโจมตีของสื่อมวลชนเท่านั้น และก็ไม่ทราบด้วยว่า หย่าเพื่อเตรียมตัวเล่นการเมืองหรือไม่
ต่อข้อถามว่า การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้เกิดความขัดแย้งของสังคมให้รุนแรงขึ้นหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตั้งแต่หลังจากการปฏิวัติ ปี 2549 มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง กล่าวหาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอด ใครจะรับได้ หากถูกกล่าวหาเพียงฝ่ายเดียว ก็ต้องออกมาชี้แจงบ้าง ซึ่งการโฟนอินในครั้งนั้น ก็มองไม่เห็นว่าจุดใดที่ไม่เหมาะสม ซึ่งตำรวจผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบของบ้านเมืองก็วินิจฉัยว่าไม่ผิด มีแต่ทนายที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ออกมาแปลความว่าผิด โดยเฉพาะทนายทำหน้าที่ปรึกษาลูกความ หากผิดก็แก้ให้ถูก ถ้าถูกก็ทำให้แน่นยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้คดีทุกอย่างอยู่ในชั้นศาลแล้ว เว้นแต่จะออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม เรื่องจึงจะจบ โดยออกเป็นพระราชกำหนด หรือพระราชบัญญัติ โดยให้กฎหมายเป็นตัวชี้ขาดและยุติปัญหาทั้งหมด
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ขณะนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หมดความชอบธรรมในการชุมนุมแล้ว เพราะการเมืองใหม่ ที่ให้มีการแต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 ไม่เป็นที่ยอมรับ เอาเหตุผลมาใช้ดีกว่า ตอนนี้ก็เลิกฟังพันธมิตรฯ พูดแล้ว เพราะมีแต่การพูดจาหยาบคาย หากบันทึกเทปที่เวทีพันธมิตรฯ ว่าจะมาแจ้งจับเรื่องหมิ่นประมาทก็คงหาทนายไม่พอ เพราะในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา หากจะฟ้องร้องคงทำได้ 200 กว่าคดี แต่ของตนและครอบครัวมี 3-4 คดีเท่านั้น 1 ฟ้อง นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม.ขึ้นเวทีปราศรัย 28 นาที ด่าผม 17 ข้อ และแจ้งจับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ จะได้รำลึกถึงกันถึงความหลังครั้งเก่า
“ผมโดนด่าแหลกลาญ แต่สุดท้ายจะถอนฟ้องให้ เพราะผมรู้จักกับ คุณสนธิ มาตั้งแต่ปี 2517 คุณสนธิ บอกว่า ผมเป็นหนี้บุญคุณเขาใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดนั้น ผมก็จำไม่ได้จริงๆ ว่า ไปเป็นหนี้บุญคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้ความเห็นทางการเมืองจะไม่ตรงกัน แต่ คุณสนธิ ก็ไปไกลแล้ว นุ่งขาวห่มขาว เดินพรมน้ำมนต์ เข้าถึงโลกุตระ จะแก้แต่มนต์เขมร ไม่แก้มนต์พม่าบ้าง ก็อยากให้กลับเข้าวัดเข้าอาศรมไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานให้ลูกชายมาบริหารงานแทนจะดีกว่า ขอฝากบอก คุณสนธิ ด้วยว่า รมว.สธ.ยังรักและเคารพอยู่ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่ยังรักกัน”ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า การที่พันธมิตรฯ กล่าวหาว่า รัฐบาล หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่จงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์ ยืนยันว่า ไม่มีรัฐบาลชุดไหนเป็นแบบนั้น ให้หยุดการกล่าวหา เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายตำรวจรับกระบี่จากพระหัตถ์ และยังต้องปฏิญาณตนและถวายความจงรักภักดีเป็นที่ตั้งทุกเช้าเย็นอยู่แล้ว รวมถึงคณะรัฐมนตรีก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และต้องเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณด้วย
“ผมจบการศึกษาจากเมืองไทย ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมีตรงไหนที่ขาดความจงรักภักดี ผมและ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยคุยว่าจงรักภักดีกว่าคนอื่น เพราะเชื่อว่าพสกนิกรชาวไทยทุกคนถวายความจงรักภักดี แต่คนที่ออกมาพูดเคยทำอะไรให้ประจักษ์บ้างก็ไม่มี พูดแต่ปากเท่านั้น โจมตีอย่างนี้ได้อย่างไร แค่คิดก็ผิดแล้ว จึงอยากให้เรื่องนี้จบ และการเมืองไทยสมัครสมานสามัคคีได้ถ้าคนไทยเข้าใจกันและเชื่อว่าความขัดแย้งทางสังคมไทย คงไม่เอาถึงเป็นถึงตาย คนไทยคงไม่มีการนองเลือด ไม่ฆ่ากันเอง” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงกระแสข่าวว่ามีรายชื่อติดโผเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ยังไม่เคยคิดในเรื่องนี้ ตนอยู่เป็น รมว.สธ.ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ส่วนการที่จะไปเป็นรองนายกฯ หรือนายกฯ นั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะอาวุโสน้อยและไม่เป็นแกนนำพรรค อีกทั้งยังมีคนที่เหมาะสมกว่า ส่วนจะเป็นใครไม่ขอเสนอความเห็น เพราะเป็นเรื่องสมาชิกพรรค ขณะนี้ยังไม่มีใครมาทาบทามทั้งนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ที่ว่างอยู่ คนพูดอาจดูรายชื่อจากคนที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีอยู่หลายคน
“หากพรรคถูกยุบก็เหมือนกับการเปลี่ยนเรือเท่านั้น ไม่มีผลอะไร ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาอาจไม่เหมือนกับกรณีพรรคไทยรักไทยก็ได้ โดยอาจเป็น 2 กรณีที่ 1 ไม่ยุบพรรค 2 ยุบพรรคแต่ไม่ตัดสิทธิ์ทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ หากยุบพรรคจริง ก็มีพร้อมที่จะลาออกไปอยู่พรรคเพื่อไทย เพราะที่พรรคพลังประชาชนไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยกลับมาลงเลือกตั้งก็เชื่อว่าจะได้คะแนนเสียงจากประชาชนให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกเช่นเดิม เพราะบารมีของพ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่และขายได้ และประชาชนก็ยังชื่นชม เชื่อว่า จะชนะขาดแน่นอน และยังต้องเสริมเก้าอี้ในการประชุมสมาชิกพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งด้วยซ้ำ ภาคใต้และกทม.ก็เอาไปเลย แถมยังไม่ได้ไม่หมดด้วยซ้ำ แต่ภาคเหนือและอีสานเป็นของพลังประชาชนแน่นอน” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ในการหาเสียงครั้งต่อไป ตนเองจะใช้กลยุทธ์เช่นเดิม ถ้าเลือกพลังประชาชน หรือ เพื่อไทย ก็จะยืนยันแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากไม่ต้องการแก้ก็ไม่ต้องเลือก ทั้งนี้เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญที่มีหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าแก้ไขเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลุดคดี อยากบอกว่าเป็นคนละเลือกกัน จะแก้รัฐธรรมนูญก็บอกกันตรงๆ ไม่มีแอบแฝงซ่อนเร้น และเชื่อว่ายังมีคนที่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่มาก ในการหาเสียงก็จะต้องอาศัยบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชูไอเดีย นโยบายเดิม เชื่อว่า ยังขายได้และชนะขาดในการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน ถ้าเป็นลูกศิษย์ธรรมกายคงต้องบอกว่า “ชิ ตัง เม” เราชนะแล้ว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ส่วนการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลนั้น ได้เสนอให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีลงนาม เพื่อสรรหาคณะกรรมการเพิ่มในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติแล้ว เพื่อให้ครบองค์ประชุมตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งแม้ว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้จะมาตรการห้ามขาย แอลกอฮอล์จะยังไม่ครอบคลุมแต่ไม่ใช่ สธ.ไม่มีแผนในการรับมือ นอกจากนี้ ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) วิเคราะห์อย่างเป็นระบบว่า เครื่องดื่มชูกำลังที่มส่วนผสมของกาเฟอีนเกิน 100 มิลลิกรัม ว่ามีโทษต่อร่างกายอย่างไรหรือไม่ และได้สั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้น 1 ชุด เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนออกกำลังกายด้วย