xs
xsm
sm
md
lg

“กระจกส่องจิ๋ม” รู้จักซอกเร้น เห็นปัญหารัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ส่องตรวจตราจุดซ่อนเร้นเพื่อสุขภาวะที่ดีของคุณ
“น้องสาว-จุ๋มจิ๋ม-จิ๊มิ” หรือศัพท์ต่างๆ นานา ที่บรรดาสาวๆ ทั้งหลายบัญญัติขึ้นอย่างน่ารัก แต่จะมีสักกี่คนที่ได้ “ทำความรู้จัก” ซอกเร้นของตัวเองจริงๆ และอาจจะเป็นเรื่องแปลกใหม่ หากหญิงไทยจะลุกขึ้นมาสำรวจที่ “จุดลี้ลับ” อันสำคัญของร่างกายตัวเอง เพราะดูจะเป็นเรื่อง “แหวกขนบ” ความเสงี่ยมหงิมของวัฒนธรรมอยู่ไม่น้อย แต่ตราบใดที่ยังเป็นการสอดส่องเฉพาะตน ก็ยังคงเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่บัดสีบัดเถลิงแต่ประการใด ซ้ำยังเป็น “ตัวช่วย” ในเรื่องการเสริมสร้าง “สุขภาวะทางเพศ” ได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ ด้วยการสนับสนุนจากแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ได้มีการเปิดพื้นที่ “เพศสื่อสาร” ให้แก่ชาย หญิง และผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมไปถึงคนข้ามเพศด้วย มีการเปิดเวทีเสวนาในห้องประชุมหลายห้อง ภายใต้กรอบการเสวนาน่ารู้หลายเรื่อง รวมไปถึงการจัดกิจกรรมให้ความรู้และความบันเทิงตามบูธต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นการจัดงานที่มีทั้งการให้ความรู้ การแลกเปลี่ยนความรู้ ความบันเทิงที่ได้ความรู้ และสีสันสดใสภายในงานอย่างครบครันกันเลยทีเดียว
ด้วยวิธิใช้กระจกส่อง
“เป๊าะ” หรือ วรรณกนก เปาะอีแตดาโอะ ผู้นำชุมชนที่ทำงานเพื่อสุขภาพและสุขภาวะทางเพศของหญิงสาวมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้จูงมือผู้หญิงเก่งจากทางภาคเหนืออีกสองคน มาร่วมจับเข่าคุยในเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครเปิดเป็นประเด็นหลัก นั่นคือ เรื่องของ “กระจกส่องจิ๋ม”

ณัฐพร ธรรมสาร ผู้นำท้องถิ่นด้านการส่งเสริมสุขภาวะทางเพศจากบ้านแม่กา จังหวัดพะเยา และจิตทิวา อินอิ่น ผู้นำท้องถิ่นจากจังหวัดเดียวกัน บอกเล่าประสบการณ์แรกเมื่อต้องเป็นฝ่ายเข้ารับการอบรมการสร้างสุขภาวะทางเพศด้วยการใช้ “กระจกส่องจิ๋ม” ของมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.)

“เขินจะตาย เขาอบรม ก็ให้พูดคุยให้คุ้นเคยกันน่ะนะ จากนั้นก็แจกกระจก ให้เรากลับไปส่องที่บ้าน แล้วก็ให้การบ้านว่า ให้ส่องแล้ววาดกลับมา” ณัฐพร เริ่มต้นประโยค พร้อมทั้งขยายความต่อไปอีกว่า ตอนแรกก็ไม่กล้าทำ แต่ทางสคส.ผู้มาอบรมก็ให้หลายวันกว่าผู้อบรมจะกล้าส่อง

“ปิดห้องส่องเองก็อายเอง นี่ขนาดของตัวเองนะ คือ เชื่อว่า ผู้หญิงไทยส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ทั้งนั้น เราก็เลยได้เคล็ดลับมาสอนต่อว่า ขั้นตอนแรกๆ ในการจูงใจคือต้องให้เวลาเขาเยอะๆ ทำให้เขาคุ้นเคยไว้ใจ แล้วค่อยๆ กล่อม ค่อยๆ ตะล่อมให้เขากล้า”
ส่องโดยใช้กระจกเงาธรรมดา
ในขณะที่ จิตทิวา ได้บอกเล่าประสบการณ์ของการเริ่มต้นรู้จักการสำรวจตรวจตราอวัยวะเพศของตัวเอง ว่า เป็นเช่นเดียวกับผู้อบรมแทบทุกคนที่ไม่กล้าและเขินอาย แต่พอทำใจส่องได้ ก็สังเกตทุกช่วงความเปลี่ยนแปลง

“ก่อนเป็นประจำเดือนก็ดู หลังจากที่นอนกับสามีก็ส่อง เวลาเขาทำแรง หรือทำให้เราเจ็บ เราก็จะบอก กลายเป็นว่าพอเรากล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องนี้กับเพื่อนที่เราไปร่วมอบรมกันมา และกล้าพอที่จะส่องของตัวเอง ทำให้เรากล้าพอที่จะพูดกับสามี และปรับความเข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างกันและกัน และชีวิตครอบครัวก็ดีขึ้น”

ถึงตรงนี้ ณัฐพร ก็ได้ยกตัวอย่างของการใช้กระจกส่องจิ๋มที่นำไปสู่การแก้ปัญหาชีวิตรักระหว่างสามี-ภรรยา อีกว่า มีกรณีหนึ่งที่ได้พบและได้ช่วยแก้ไข คือ กรณีของสามีของผู้ที่เข้ารับการอบรมรายหนึ่ง มักมีพฤติกรรมการดื่มเหล้าเมากลับบ้านในตอนดึก และมักจะขอมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา และมักจะทำรุนแรงจนภรรยาเจ็บและไม่มีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์

“พอตัวภรรยาเขามาอบรมและมีการพูดคุยจนคุ้นเคยกัน มีการปรึกษาเรื่องน้องจิ๋มรวมไปถึงการสร้างสุขภาวะทางเพศแล้ว เขาก็มีความไว้ใจเรา ก็เล่าเรื่องที่สามีของเมากลับมาแล้วของมีเพศสัมพันธ์แบบรุนแรง เราก็แนะนำให้เขาเปิดอกพูดกับสามีตรงๆ แต่เขาไม่กล้า เราก็เลยช่วยเขาโดยการนำสามีเขามาพูดคุยกับเราต่อหน้าภรรยา เขาบอกว่า เขาไม่เคยรู้เลยว่าภรรยาเจ็บ”

“คือ พี่คิดว่านี่แหละปัญหาใหญ่ของผู้หญิงไทยอย่างเรา คือเราไม่กล้าพูด ไม่กล้าให้สามีต้องรำคาญใจ ทนอะไรได้ก็ทน ยอมอะไรได้ก็ยอม ทั้งที่ยอมไปแล้วเสียสุขภาพเรา ทำให้สุขภาวะทางเพศแย่ลง เชื่อไหม สามีเขาบอก เขาเสียใจมากที่ทำภรรยาเจ็บ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่รู้เลย เพราะภรรยาไม่เคยบอก ซึ่งอาจจะไม่ใช่ผลโดยตรงจากการใช้กระจก แต่พี่ว่ามันเป็นผลที่สืบเนื่อง ที่ทำให้ผู้หญิงไทยกล้าขึ้น” ณัฐพร ให้ความเห็น

ด้าน จิตทิวา เสริมว่า ผู้ชายหลายคนไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำกับภรรยา แต่ที่ไม่รู้ปัญหาเพราะภรรยาไม่เคยกล้าบอก อาจจะเพราะอาย คิดว่าเป็นเรื่องต่ำ คิดว่าเป็นเรื่องปกปิด พอมีการเปิดอกพูดกัน ก็มีการปรับความเข้าใจกัน จนไปถึงขั้นการแนะนำสามีให้รักษาสุขภาพอนามัยที่จุดซ่อนเร้นของเขาด้วย

“เมื่อก่อนพี่ก็ไม่กล้าพูดกับสามี พอเราใช้กระจก เรากล้ามากขึ้น เริ่มจากพูดกับเพื่อน ถามว่าทำไมไม่เหมือนกัน เราผิดปกติไหม เราก็จะได้ความรู้ ได้ข้อมูลใหม่ๆ พอเรากล้าพูดกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน มันก็พัฒนามาพูดกับสามีได้ สามีก็รับรู้ และปรับตัวให้เรามีความสุขทั้งสองฝ่าย และทุกวันนี้เราก็สามารถแนะนำเขาได้ให้เขารักษาสุขภาพตัวเอง ให้เขาหมั่นทำความสะอาด รักษาอนามัยของอวัยวะของเขา เพื่อสุขภาพของเราด้วย” จิตทิวา ตอกย้ำประโยชน์ที่เกิดขึ้น
ชุดส่องจุดซ่อนเร้นด้วยตัวเองของฝรั่งที่มีครบทั้งกระจก ไฟฉาย และคีมถ่าง
ในขณะที่ วรรณกนก พูดติดตลกว่า พอกล้าส่องของตัวเองดู ก็เกิดความสงสัยว่า ทำไมมันหน้าตาไม่เหมือนกับในหนังโป๊ แบบนี้ของเราผิดปกติหรือเปล่า ซึ่งการอบรมเป็นกลุ่มเล็กของสคส.และการละลายพฤติกรรมของผู้ร่วมอบรม ทำให้ผู้เข้ารับการอบรมสนิทสนมและไว้วางใจกันมากพอที่จะเอาเรื่อง “น้องจิ๋ม” ของตัวเองมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้

“คือ การส่องจากภายนอก มันไม่ได้ทำให้เห็นชัดว่าเราเป็นอะไร มีความผิดปกติอะไรหรอก เพราะเราไม่ได้มีความรู้อย่างหมอ แต่ที่เราได้ ก็คือการฝึกสังเกตตัวเอง การให้ความสำคัญกับส่วนที่บอบบางของเรา” วรรณกนก กล่าวพร้อมกับให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า เมื่อผู้เข้ารับการอบรม มีความคุ้นเคยและเลิกเขินอายในการใช้เครื่องมือที่ถูกเรียกว่า “กระจกส่องจิ๋ม” จนสามารถวาดออกมาได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปของสคส.ก็คือให้ทุกคนเขียนจดหมายถึง “น้องจิ๋ม” ของตัวเอง

“พอเราลองเขียนจดหมายถึงน้องจิ๋มของตัวเองแล้ว ก็รู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับอวัยวะส่วนนั้นของเรามากขึ้น จากเดิมที่มันเคยเป็นของลับ เป็นสิ่งที่ควรปกปิด ตัวเองยังไม่กล้าจะมองของตัวเอง เวลาทำความสะอาดก็ไม่ได้มอง วันๆ ไม่เคยให้ความสำคัญ ก็กลับมามองมัน มาดูแลมันมากขึ้น”

วรรณกนก ได้ยกตัวอย่างกรณีของปัญหาทางเพศของครอบครัวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เป็นครอบครัวมุสลิมว่า ด้วยเพราะวัฒนธรรมที่ผู้ชายเป็นผู้นำของครอบครัว ทำให้บางครั้งผู้ชายมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนใต้ หลงลืมถึงความต้องการทางเพศที่ผู้หญิงเองก็มีไม่ต่างจากผู้ชาย

“คือ เป็นสังคมที่เราต้องยอมรับว่ามีความแตกต่างกันออกไป สังคมมุสลิมผู้ชายยังเป็นใหญ่ และเป็นผู้นำทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว บางครั้งก็มีผู้ชายไม่น้อยที่ละเลยการใส่ใจเรื่องสุขภาวะทางเพศไป ผู้หญิงบางคนที่เราไปอบรมการใช้กระจกส่องจิ๋ม พอสนิทกันเขาก็เริ่มระบายปัญหา”

“บางคนถึงขนาดรู้สึกว่าตั้งแต่แต่งงานเขารู้สึกเหมือนโดนข่มขืน ไม่เคยเสร็จ คือรองรับอารมณ์สามีอย่างเดียว จุดสุดยอดหรือกระทั่งความสุขทางเพศระหว่างมีอะไรกันของสามีภรรยายังไม่เคยรู้จัก เราก็พยายามช่วย ตอนนี้เราแจกเจลหล่อลื่นไปนับร้อยๆ ชุดแล้ว จนตอนนี้ไม่มีจะแจก ถือเป็นของขาดแคลนและยังมีหลายครอบครัวต้องการ เพราะมันทำให้เขาเจ็บน้อยลงเวลาร่วมเพศกับสามี”

ผู้นำชุมชนจากชายแดนใต้ยังกล่าวต่ออีกว่า มีอีกหนึ่งกรณีที่เป็นผลพวงจากการใช้กระจก คือมีผู้หญิงคนหนึ่ง อบรมการใช้กระจกส่องจิ๋มจนเลิกเขินอายและใช้กระจกส่องจุดซ่อนเร้นเพื่อตรวจสุขภาพด้วยตนเองได้ อยู่มาวันหนึ่งเธอนอนกับสามีแล้วรู้สึกปวดท้องและเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เธอจึงไปพบหมอ ก็ปรากฏว่าเธอเป็นมะเร็งปากมดลูก หมอก็ผ่าตัดรักษาได้ทัน

“เธอก็สารภาพว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงไม่กล้าไปนอนให้หมอตรวจ แต่พอใช้กระจก ก็รู้ว่ามันเป็นส่วนที่เราต้องดูแลรักษาและเอาใจใส่เป็นพิเศษ เมื่อเกิดความผิดปกติ ทำให้เธอทำใจได้ที่จะไปนอนให้หมอตรวจจนรักษาหายก่อนจะสาย ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก

...อยากให้ผู้หญิงไทยทุกคนใช้กระจกส่องจิ๋ม เพื่อทำความรู้จักกับจุดบอบบางของตัวเอง สังเกตเมื่อมันยังปกติ เพื่อที่จะรู้เมื่อถึงวันที่มันมีอาการผิดปกติ จะได้ดูแลรักษามันได้อย่างทันท่วงที” วรรณกนก ทิ้งท้าย

กำลังโหลดความคิดเห็น