แพทย์ผู้รับผิดชอบรักษาผู้บาดเจ็บเหยื่อตำรวจคลั่งเผยภาพฟ้องโลก แผลฉกรรจ์ บางรายถึงตัดขา ระบุบางรายโดยสะเก็ดระเบิด บางแผลใหญ่ชนิดตัดเนื้อท่อนขาไปครึ่งหนึ่ง หลายแผลมีรอยไหม้และมีเขม่าดินปืนติดอยู่รอบแผล เผยน่าจะไม่ใช่แค่แก๊ซน้ำตา แต่น่าจะเป็นอาวุธที่รุนแรงกว่านั้น “พล.อ.ปานเทพ” ระบุตำรวจขนอาวุธสงครามไล่ฆ่าประชาชน มีทั้ง M-79 ลูกซอง กระสุนยาง ระเบิดควัน ด้านอดีตดีเอสไอเผยตำรวจเลือกใช้ระเบิดควันจีนชนิดระเบิดได้ใส่ประชาชน
วันนี้ (9 ตุลาคม) เมื่อเวลา 08.30 น.ที่ห้องบรรยายพาหุรัด อาคารสิรินธร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แพทย์จากสถาบันต่างๆ ที่รับผิดชอบดูแลรักษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยของตำรวจ ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงข้อเท็จจริงและจัดเสวนาเชิงวิชาการเกี่ยวกับรูปแบบของบาดแผลและอาวุธที่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
นายแพทย์อัจฉริยะ สาโรวาทย์ จากโรงพยาบาลรามาธิบดี หนึ่งในทีมแพทย์ที่ดูแลคนไข้ เปิดเผยว่า คณะแพทย์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดังกล่าวได้ให้การดูแลรักษาผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่และดีที่สุด โดยในเหตุการณ์การปะทะเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก เป็นเหตุการณ์ที่คณะแพทย์สะเทือนใจที่สุดตั้งแต่ได้ทำการรักษามา อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก วชิรพยาบาลอยู่ใกล้ที่สุดจึงรับผู้ป่วยมากที่สุด ขณะที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ซึ่งอยู่ไกลออกมายังมีผู้บาดเจ็บส่งมาทำการรักษาถึง 10 ราย
จากสถานการณ์ความรุนแรงดังกล่าว คณะแพทย์ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในเดือนที่ผ่านมาทางโรงพยาบาลรามาธิบดีได้มีการรับรักษาอาการผู้บาดเจ็บทั้งฝ่ายตำรวจและพันธมิตรฯ ซึ่งจากข้อเท็จจริงที่พบคือมีผู้ป่วยรายหนึ่งลำไส้ฉีกขาด และพบลูกกระสุนในบาดแผล เห็นได้ชัดว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ต่อมาหลังจากนั้นก็เกิดเหตุวิวาทกันบริเวณสะพานมัฆวาน มีผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลลักษณะบาดแผลเป็นรู จึงทำการตรวจพบว่ามีความลึกที่สามารถสอดกรรไกรแพทย์เข้าไปได้จนสุด พบเศษกระสุนยางจากบาดแผล และความรุนแรงนี้ก็ยังมีอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ที่การปะทะรุนแรงถึงขึ้นมาผู้บาดเจ็บนับร้อยและมีผู้เสียชีวิต
“กรณีของคนที่ขาขาดเชื่อว่าไม่น่าจะเกิดจากแก๊สน้ำตา เพราะบาดแผลมีความรุนแรงมาก และในบาดแผลมีคราบเขม่าสีดำปนเปื้อนอยูด้วย แผลชนิดนี้คงไม่ใช่เกิดจากการถูกตีหรือถูกทำร้ายด้วยอาวุธธรรมดา ส่วนกรณีผู้ป่วยที่นิ้วเท้าขาดอยู่ระหว่างการรักษา ซึ่งเจ้าตัวกำลังใจดีมาก แม้ขณะนี้แผลยังปิดไม่ได้ และคาดว่าต้องรับการผ่าตัดหลายครั้ง”
นอกจากนี้ นายแพทย์อัจฉริยะได้นำภาพถ่ายของผู้บาดเจ็บที่มารักษายังโรงบาลรามาธิบดี เปิดเผยแต่อสื่อมวลชน ซึ่งภาพดังกล่าวมีทั้งภาพการผ่าตัดในรายที่บาดเจ็บสาหัส ภาพพยาบาลที่เข้ารับการผ่าตัดเนื่องจากได้รับสะเก็ดระเบิดทั้งหลังขณะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ชุมนุมในสถานที่เกิดเหตุ ภาพขาของของผู้บาดเจ็บที่ถูกอาวุธไม่ทราบชนิดจนเท้าแหลก ภาพผู้บาดเจ็บจากอาวุธไม่ทราบชนิดจนเนื้อบริเวณต้นขาหายไปเกือบครึ่ง ภาพขาของของผู้บาดเจ็บที่ถูกอาวุธไม่ทราบชนิดจนหน้าแข้งแตก กระดูกโผล่ออกมา ภาพผู้บาดเจ็บจากกระสุนยางที่ถูกยิงจนฝังลึกเข้าไปในผิวหนัง ภาพเด็กหญิงอายุราว 14-15 ปีที่นอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล ภาพผู้บาดเจ็บที่ได้รับแรงอัดกระแทบกระแทกบริเวณหน้า และภาพของน้องโบว์ที่ได้รับแผลฉกรรจ์บริเวณหน้าอก กินพื้นที่ไปจนถึงท้องแขนซ้าย เสื้อชั้นนอกและชั้นในไหม้ไปตามรูปของรอยแผล กระดูกซี่โครงซ้ายหักทั้งหมด ปอดและหัวใจทะลุ ม้ามฉีก แก้วหูซ้ายฉีก เท้ามีรอยแผลฉีก ส่วนแขนจากแผลใหญ่มีรอยไหม้เป็นเส้นยาวลากได้เป็นรูปสามเหลี่ยม
“สำหรับผู้ป่วยที่นิ้วเท้าขาด ขณะนี้ยังปิดแผลไม่ได้ และคาดว่าต้องผ่าตัดอีกหลายครั้งว่าจะกลับไปใช้ชีวิตได้กลับเคียงกับก่อนได้รับบาดเจ็บ แต่ผู้บาดเจ็บทุกท่านกำลังใจดีมาก ด้วยเพราะทั้งเจตนารมณ์และผู้ที่มาเยี่ยมให้กำลังใจ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่มีการเสวนาและเปิดให้มีการสอบถาม พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนรานุบาล ก็ได้ลุกขึ้นพูดว่า “ผู้ที่ดูเอเอสทีวีคงเคยเห็นหน้าผม พวกที่ไม่เคยดูผมคิดว่าควรจะเริ่มต้นดูได้แล้ว ผมอยู่ในสนามมาหลายปี ผมชินกับบาดแผลจากสงคราม เวลามีคนบาดเจ็บ ผมมักจะไปรับด้วยตัวเองทางเฮลิคอปเตอร์และผมมักจะตามเข้าไปถึงห้องผ่าตัดด้วย
ผมไม่เคยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างนี้ ไม่ว่าผมจะเห็นทหารหรือตำรวจได้รับบาดเจ็บ แต่ในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจมาก ในขณะนั้นผมอยู่ในรถเอเอสทีวี และเห็นภาพตำรวจในกองบัญชาการตำรวจนครบาลยิงกระหน่ำใส่ประชาชนที่กำลังเดินกลับจากรัฐสภา โดยไม่ได้มีอาการคุกคามเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังคงยิงใส่ประชาชนอย่างเมามัน ผมชินกับเสียงระเบิด เสียงปืน และแก๊สน้ำตา ถ้าเป็นแก๊สน้ำตา ลักษณะเสียงจะดังป๊อง และฟุ่บ มีควันออกมา แต่ถ้าเป็นระเบิด M-79 มันจะดังป๊องแล้วบึ้ม ผมนั่งอยู่ในรถเอเอสทีวีมีลูกหนึ่งถูกยิงออกมาความรุนแรงตัดกิ่งไม่ขาด ยืนยันว่าไม่ใช่แก๊สน้ำตาแน่นอน” พล.อ.ปานเทพ กล่าว และว่า
“จากภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์จะพบว่า มีอาวุธนานาชนิด ทั้งปืน กระสุนยาง แก๊สน้ำตา และก็มี M-79 รวมถึงมีปืนลูกซองด้วย ผมไม่ชินกับปืนลูกซอง แต่เข้าใจว่าจะเป็นลูกซอง 5 นัด ลักษณะของกระสุนลูกซองจะมีเม็ดข้างใน มีชนิด 5 เม็ด 7 เม็ด และกระสุนลูกปราย ที่เห็นในภาพยนตร์ การใช้ปืนชนิดนี้ยิงคนในระยะใกล้จะทำให้ท้องโหว่ได้เลย”
นอกจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ปานเทพ ได้ฝากถึงหมอผ่าตัดด้วยว่า ให้หมอทำการสังเกตว่าได้กลิ่นแก๊สน้ำตาจากตัวคนไข้หรือไม่ เพราะแก๊สน้ำตาจะมีกลิ่นติดทนมาก ถ้ารักษาไปแล้วไม่ได้กลิ่นก็คือบาดแผลที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากแก๊สน้ำตา
ด้านนพ.รัฐพลี ภาคอรรถ จากโรงพยาบาลจุฬาฯ เปิดเผยว่า จากการตรวจรักษาผู้บาดเจ็บ พบเขม่าดินปืน และเศษสะเก็ดยางจากระเบิดฝังอยู่ในบาดแผลของผู้บาดเจ็บด้วย และได้ลงความเห็นว่าบาดแผลของผู้บาดเจ็บไม่น่าจะเกิดจากการใช้แก๊สน้ำตา แต่น่าจะเกิดจากอาวุธหนักที่มีอานุภาพการทำลายร้ายแรงกว่านั้น เนื่องจากบาดแผลฉกรรจ์และรุนแรงมาก พร้อมกันนี้ยังได้ฝากคำแนะนำการดูแลรักษาชีวิตของผู้ที่อยู่ในพื้นที่การปะทะว่า
“ในความเห็นของทุกคนจะเห็นว่าควรนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ซึ่งก็เป็นวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสม แต่ในบางกรณีฉุกเฉิน เวลาไม่กี่นาทีที่รอนำส่งโรงพยาบาลอาจไม่พอและสายเกินไป การปฐมพยาบาลในที่เกิดเหตุจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก เพราะหากเราอยู่ในที่เกิดเหตุ นอกจากต้องระวังตัวเองแล้ว เมื่อเกิดเหตุผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆ ได้รับบาดเจ็บ เราย่อมไม่ปล่อยให้ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งในพื้นที่นั้นอุปกรณ์การช่วยชีวิตย่อมจำกัด ดังนั้นควรสังเกตและประยุกต์สิ่งที่มีอยู่ในตัวนำไปปฐมพยาบาลเบื้องต้น”
นพ.รัฐพลี แนะนำอุปกรณ์ที่พอจะใช้เป็นเครื่องปฐมพยาบาลฉุกเฉิน ได้แก่ ปากกา มีดพับ คัตเตอร์ เชือก เข็มขัด เสื้อผ้า ถุงพลาสติก นิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ต่างๆ พลาสเตอร์พันสายไฟในรถยนต์ กระดาษกาว หรือพลาสเตอร์อื่นๆ กิ่งไม้ ท่อนไม้ ประแจ ที่สามารถช่วยห้ามเลือด ขันชะเนาะกระดูก ตัดเสื้อผ้าบริเวณบาดแผล ซึ่งเป็นการพยาบาลในเบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาบาล ส่วนการดูแลตัวเองก่อนเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงนั้น ควรสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว เพื่อป้องกันผิวหนัง ควรพกหน้ากาก น้ำเกลือ ยาหยอดตา ยาชา สำหรับยาชาจะใช้เมื่อโดนแก๊ซน้ำตาแล้วแสบจนลืมตาไม่ได้ จำเป็นต้องหยอดเพื่อให้ลืมตาได้เพราะในพื้นที่เสี่ยงจะอันตรายมากหากลืมตาไม่ได้
ด้านพล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญชาการสำนักวิทยาศาสตร์ตำรวจ ปรมาจารย์ด้านปืนและอาวุธ ระบุว่า ระเบิดควันที่ใช้กันอยู่มีของ 2 ประเทศ คือ จากจีน และอเมริกา ระเบิดควันของอเมริกาจะมีแค่เสียงฟู่เวลาตกกระทบแล้วปล่อยควันออกมา แต่ระเบิดควันของจีนเป็นแบบปล่อยทั้งควันและเกิดระเบิดได้เมื่อถูกกระทบ ซึ่งสถานการณ์และภาพที่ทุกคนได้เห็นก็ชัดแล้วว่า ตำรวจจงใจเลือกระเบิดควันแบบไหนยิงใส่ประชาชน
“ตามธรรมดา การปราบจลาจล เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะทำได้แค่เพียง ยิงขึ้นเฟ้า หรือยิงลงดิน หรือมากที่สุดก็คือยิงกระสุนยางลงพื้นเพื่อให้วิถีกระดอนไปถูกเป้าหมายเท่านั้น จะไม่ยิงแบบไดเรกต์ฮิตเข้าไปในฝูงชนแบบนี้ และสิ่งที่ผมจะฝากไปถึงหมอ หากท่านรับผู้บาดเจ็บ ขอให้เก็บชิ้นเนื้อ อวัยวะที่ขาด ตลอดจนเสื้อผ้า เก็บรักษาไว้ ถ้าไม่มั่นใจตำรวจ ให้ส่งไปตรวจที่มหาวิทยาลัยก็ได้ครับ” ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนกล่าว