ผอ.รพ.รามาฯ แถลง ผู้ป่วยยังพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 16 ราย 10 รายอาการหนัก โดยในจำนวนนี้เสียอวัยวะส่วนล่าง 2 ราย เสียมือ 2 ราย ควักตาขวาทิ้ง 1 ราย กระดูกหัก 3 ราย เผยมีอีกรายยังไม่ทราบชื่ออาจจะต้องเจาะคอ ส่วน ตร.ถูกรถชนเตรียมผ่าตัดเอ็นขา แถลงสาเหตุการเสียชีวิต “น้องโบว์” บ่าย 2 โมง
เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.รศ.ธันย์ สุภัทรพันธ์ ผอ.โรงพยาบาลรามาธิบดี แถลงสรุปเหตุการณ์ผู้ได้บาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า สถานการณ์ผู้ได้รับบาดเจ็บที่ รพ.รามาธิบดี ซึ่งรับผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น.ของวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจำนวนทั้งสิ้น 76 ราย โดยขณะนี้ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 16 ราย ในจำนวนนี้ 6 รายยังต้องเฝ้าดูอาการ ส่วนอีก 10 รายต้องรับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรง ซึ่งในผู้ป่วย 10 รายนี้ มี 2 รายที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นสูญเสียอวัยวะส่วนล่าง อีก 2 รายสูญเสียอวัยวะมือ และอีก 1 รายเสียตาขวา ต้องควักเอาดวงตาออก ซึ่งดูจากลักษณะบาดแผลแล้วพบว่า ไม่ได้เป็นพิษจากการถูกแก๊สน้ำตา แต่ถูกกระแทกอย่างแรง นอกจากนี้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 3 รายที่กระดูกหัก เนื่องจากมีบาดแผลรุนแรงบริเวณกล้ามเนื้อ
ขณะที่อีกรายหนึ่งเป็นชายไทยไม่ทราบชื่อ อยู่ในส่วนของผู้ชุมนุมและยังไม่ได้สติ ซึ่งไม่พบหลักฐานส่วนตัวใดๆ มีอาการบาดเจ็บที่ลำคอ ขณะนี้อยู่ในหอผู้ป่วยไอซียู แม้มีอาการดีขึ้น แต่ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งยังไม่ทราบว่าหลังจากนี้อาจจะต้องเจาะคอ และต้องหายใจทางคอไปตลอดชีวิต โดยในรายนี้บาดแผลเกิดจากแรงกระแทกเช่นกัน ซึ่งน่าจะเป็นอาวุธนิดใดชนิดหนึ่ง
ส่วนอีก 1 ราย คือ ส.ต.ต.ธีราเชษฐ์ ธาราปัญจทรัยพ์ ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกรถชน ขณะนี้กำลังเฝ้าติดตามอาการใส่เฝือก เพื่อรอผ่าตัดเอ็นข้อขา นอกจากนั้นเป็นผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดไปแล้ว ส่วนหนึ่งจะมีการผ่าตัดเพื่อตบแต่งบาดแผล และลดการติดเชื้อหลังจากการผ่าตัด ส่วนการให้บริการของ รพ.รามาฯ ขณะนี้เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยจะมีการแถลงถึงระบบการดำเนินการต่างๆ ของโรงพยาบาลฯ ในช่วงบ่ายวันนี้
“ทางโรงพยาบาลรามาฯ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต โดยทางโรงพยาบาลฯ ไม่มีโอกาสได้ให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากเสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาลแล้ว สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตขณะนี้ยังไม่สามารถพูดได้ แต่จะแถลงสาเหตุการเสียชีวิตในเวลา 14.00 น.ซึ่งผลนิติเวชจะออกมา”
ผู้สื่อข่าวถามว่า สามารถระบุได้หรือไม่ว่าอาการบาดเจ็บมาจากระเบิดชนิดใด ผอ.รพ.รามาฯ กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ขอให้ความคิดเห็น โดยทางฝ่ายนิติเวชจะให้ความเห็นได้ดีกว่า
นพ.ธันย์ กล่าวอีกว่า จากที่ได้ตรวจเยี่ยมผู้ป่วย ขวัญกำลังใจผู้ป่วยดีขึ้น โดยมีญาติพี่น้องมาคอยเฝ้าดูอาการ โดยอาจจะต้องขอเวลาอีก 2-3 วันในการให้ผู้ป่วยพักผ่อนก่อนจะอนุญาตให้เข้าเยี่ยม และต้องเป็นความสมัครใจของผู้ป่วยด้วย
**นเรนทรสรุปเจ็บ 437 ราย
นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผอ.ศูนย์นเรนทร กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ยังมีผู้บาดเจ็บจากเหตุสลายการชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา ลานพระบรมรูปทรงม้า บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล แยกการเรือน แยกขัตติยานี นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลต่างๆ จำนวน 73 ราย จากที่มีผู้บาดเจ็บ เข้ารับการรักษาทั้งสิ้น 437 คน
**วชิระรับไว้ 164 รายขาขาดยังน่าห่วง
ด้าน นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวถึงยอดผู้บาดเจ็บตลอดทั้งวัน เมื่อวานที่ผ่านมาจากเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มพันธมิตรฯ รวมทั้งสิ้น 164 ราย ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในจำนวนนี้มีผู้บาดเจ็บต้องเข้ารับการผ่าตัดทั้งสิ้น 13 ราย ขณะเดียวกันได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บาดเจ็บจากการปะทะ เข้ารักษาตัว 14 ราย ถูกยิง 3 ราย ซึ่งอยู่ในอาการปลอดภัยแล้ว
ส่วน นายธัญญา คูณแก้ว การ์ดพันธมิตรฯ ที่ได้รับบาดเจ็บขาขาดนั้น อาการดีขึ้นแต่ยังคงน่าเป็นห่วง ขณะที่ นายบุญมา บุญเถื่อน อายุ 50 ปี ชาวชลบุรีที่เข้านอนรักษาตัวตลอดทั้งคืน เนื่องจากถูกยิงด้วยแก๊สน้ำตาได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลเช้าวันนี้ โดยยืนยันว่าจะกลับไปร่วมชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลต่อทันที สำหรับยอดผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์วานนี้รวมทั้งสิ้น 410 ราย เสียชีวิต 2 ราย โดยแยกกระจายตามโรงพยาบาลต่างๆ
นพ.ชัยวัน กล่าวว่า ขอเตือนผู้ปกครอง อย่านำบุตรหลานวัยเด็ก เข้าร่วมชุมนุมที่ทำเนียบฯเพราะอาจเป็นอันตรายได้ หลังวานนี้มีผู้ปกครองนำเด็กวัยตั้งแต่ 1-5 ขวบ เข้ารับการรักษาจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยิงแก๊สน้ำตาซึ่งขณะนี้ทยอยกลับบ้านไปหมดแล้ว ขณะที่ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่จะทยอยกลับบ้านในวันนี้ เหลือเพียงผู้บาดเจ็บที่เข้ารับการผ่าตัดต้องพักรักษาตัวที่ รพ. โดยมีทีมแพทย์ให้ความดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ
ทั้งนี้ นพ.ชัยวัน ยืนยันว่า หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก รพ.มีความพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินเต็มที่ โดยไม่กระทบกับการรักษาผู้ป่วยรายอื่นๆ