ผบก.น.1 บอกเหตุระเบิดการ์ดพันธมิตรฯ ที่แยกสวนมิสกวันเป็นการยิงลักษณะเฉียง น่าเป็นเอ็ม 79 หวังสร้างสถานการณ์ไม่มุ่งชีวิต ขณะที่พ่อ “น้องเหน่ง” บอกพยายามทำใจแล้ว อาการลูกโคม่าไม่รู้สึกตัว กล้ามเนื้อสมองตาย ต้องให้ออกซิเจนตลอดเวลา รอเพียงแม่กลับจากเยอรมนีจะทำไงต่อ เพราะถ้าถอดสายก็เสียชีวิตทันที
วันนี้ (22 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิด เมื่อเวลา 02.10 น.เมื่อคืนที่ผ่านมา บริเวณแยกสวนมิสกวัน ถนนพิษณุโลก เป็นผลให้การ์ดพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 คน สาหัสจำนวน 3 นาย ชื่อ นายยุทธพงษ์ เสมอภาค อายุ 22 ปี ถูก สะเก็ดระเบิดเข้าที่บริเวณหัว และลำตัว นอนพักรักษาตัวภายในห้องไอซียู นายวิรัตน์ เพียงสัจจะ อายุ 54 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่บริเวณไหล่ ขาทั้งสองข้าง และบริเวณมือ นายเอกพล สหวัฒน์ อายุ 33 ปี ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณแขนและขา ถูกนำส่ง รพ.รามาธิบดี
พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุได้เข้าร่วมตรวจสอบพร้อมกับเจ้าหน้าที่สรรพาวุธ กองพิสูจน์หลักฐาน และพบชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ และน่าจะเป็นระเบิดแบบเอ็ม 79 ส่วนจะเป็นชนิดเดียวกันกับที่ระเบิดที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนหน้านี้หรือไม่ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจสอบก่อน แต่จากการดูวิถีการยิง ลักษณะเฉียง และทิศทางน่าที่จะเป็นการยิงไม่ใช่แบบขว้าง เพราะการขว้างเป็นไปได้ยาก และน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ ซึ่งถ้าจะประสงค์ต่อชีวิตแล้ว ต้องปา หรือยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แต่ยิงเจาะจงไปที่บริเวณกลุ่มการด์ ส่วนคนร้าย ซึ่งจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่ทำเนียบหรือไม่นั้น คงไม่สามารถตอบได้ แต่จากการสอบพยานทราบว่า เห็นคนขับรถจักรยานยนต์ มา 1 คัน และเกิดระเบิดขึ้น ขณะที่อีกคนบอกว่าเห็นคนขี่รถจักรยานยนต์มา 2 คันแล้วเกิดระเบิดขึ้น อย่างไรก็ตามจะต้องสอบสวนให้ละเอียดอีกครั้ง และจะตวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณแยกมิสกวันว่าจับภาพคนร้ายได้หรือไม่ ส่วนผู้บาดเจ็บ ทราบว่ามี อยู่จำนวน 8 คน สาหัส 3 คน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การประเมินเหตุการณ์ก่อนที่จะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรในวันพรุ่งนี้ (23 พ.ย.) ประเมินเหตุการณ์ว่าอย่างไร พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวว่า ทางผู้บังคับบัญชามีแนวทางอย่างชัดเจน ส่วนจะใช้แก๊สน้ำตาลหรือไม่นั้นตอบไม่ได้ แต่ก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยง ซึ่งขั้นตอนจะเริ่มจากการประกาศทางเครื่องขยายเสียงก่อนให้กลุ่มผู้ชุมนุมทราบว่าควรชุมนุมกันอย่างสงบ ถ้าไม่เชื่อฟังจะมีการใช้น้ำฉีดและการใช้แก๊สน้ำตาเป็นขั้นสุดท้าย และเชื่อว่าเหตุการณ์จะไม่รุนแรง เพราะคนไทยด้วยกัน
ขณะเดียวกันที่ห้องศัลยกรรมชาย-หญิง ชั้น 5 ตึก 1 รพ.รามาธิบดี ห้องพักรักษาตัว ของ นายยุทธพงษ์ เสมอภาค อายุ 22ปี ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุระเบิดและอาการหนักที่สุด ที่พักรักษาตัว อยู่บริเวณเตียงที่ 25 โดยทางเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าเยี่ยมโดยเฉพาะผู้สื่อข่าว โดยจะให้ทางญาติเข้าเยี่ยมเท่านั้น เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามอาการจากเจ้าหน้าที่พยาบาล ถึงอาการของผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิด แต่ทางเจ้าหน้าที่ขอให้รอการชี้แจงอย่างเป็นทางการจากผู้บริหาร แต่ในวันเสาร์ อาทิตย์ คงไม่มีผู้บริหารคนใดเข้ามาชี้แจงให้ผู้สื่อข่าวทราบ
ขณะที่ นายชุมพล เสมอภาค อายุ 44ปี อาชีพรับซื้อของเก่า อยู่บ้านเลขที่ 120/3 ถ.ดำรงรักษ์ แขวงและเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. บิดาของผู้ได้รับบาดเจ็บเปิดเผยว่า นายยุทธพงษ์ หรือน้องเหน่ง ขณะนี้ยังไม่รู้สึกตัว นอนให้ออกซิเจนอยู่ กล้ามเนื้อสมองตาย ต้องให้เครื่องหายใจตลอดเวลา และตนก็พยายามทำใจ หากถอดเครื่องหายใจก็คงจะเสียชีวิต ซึ่งขณะนี้รอนางยุพา เสมอภาค มารดาซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจสปาอยู่ที่ประเทศเยอรมนี เดินทางกลับมาก่อนว่าจะทำอย่างไรกับน้อง ซึ่งโดยปกติน้องเหน่งจะเดินทางมาร่วมกับพันธมิตร 3-4 วันต่ออาทิตย์ และมีหน้าที่แจกจ่ายอาหารให้แก่ ส.ห.และทหารที่อยู่รอบทำเนียบ เพราะน้องเหน่งมีจักรยานยนต์อยู่คันหนึ่ง และจะกลับบ้านประมาณเที่ยงคืนทุกวัน และเมื่อคืนนี้ตนนอนรออยู่และไม่กลับบ้าน จนกระทั่งทราบว่าถูกระเบิดและนำส่งรพ.รามาฯ และเมื่อคืนก่อนเกิดเหตุน้องเหน่งได้พูดกับเพื่อนว่าจะขออยู่ที่ชุมนุมที่พันธมิตรฯ จนดึกเป็นคืนสุดท้าย จนเกิดเหตุขึ้น
วันนี้ (22 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิด เมื่อเวลา 02.10 น.เมื่อคืนที่ผ่านมา บริเวณแยกสวนมิสกวัน ถนนพิษณุโลก เป็นผลให้การ์ดพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 คน สาหัสจำนวน 3 นาย ชื่อ นายยุทธพงษ์ เสมอภาค อายุ 22 ปี ถูก สะเก็ดระเบิดเข้าที่บริเวณหัว และลำตัว นอนพักรักษาตัวภายในห้องไอซียู นายวิรัตน์ เพียงสัจจะ อายุ 54 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่บริเวณไหล่ ขาทั้งสองข้าง และบริเวณมือ นายเอกพล สหวัฒน์ อายุ 33 ปี ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณแขนและขา ถูกนำส่ง รพ.รามาธิบดี
พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุได้เข้าร่วมตรวจสอบพร้อมกับเจ้าหน้าที่สรรพาวุธ กองพิสูจน์หลักฐาน และพบชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ และน่าจะเป็นระเบิดแบบเอ็ม 79 ส่วนจะเป็นชนิดเดียวกันกับที่ระเบิดที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนหน้านี้หรือไม่ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจสอบก่อน แต่จากการดูวิถีการยิง ลักษณะเฉียง และทิศทางน่าที่จะเป็นการยิงไม่ใช่แบบขว้าง เพราะการขว้างเป็นไปได้ยาก และน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ ซึ่งถ้าจะประสงค์ต่อชีวิตแล้ว ต้องปา หรือยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แต่ยิงเจาะจงไปที่บริเวณกลุ่มการด์ ส่วนคนร้าย ซึ่งจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่ทำเนียบหรือไม่นั้น คงไม่สามารถตอบได้ แต่จากการสอบพยานทราบว่า เห็นคนขับรถจักรยานยนต์ มา 1 คัน และเกิดระเบิดขึ้น ขณะที่อีกคนบอกว่าเห็นคนขี่รถจักรยานยนต์มา 2 คันแล้วเกิดระเบิดขึ้น อย่างไรก็ตามจะต้องสอบสวนให้ละเอียดอีกครั้ง และจะตวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณแยกมิสกวันว่าจับภาพคนร้ายได้หรือไม่ ส่วนผู้บาดเจ็บ ทราบว่ามี อยู่จำนวน 8 คน สาหัส 3 คน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การประเมินเหตุการณ์ก่อนที่จะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรในวันพรุ่งนี้ (23 พ.ย.) ประเมินเหตุการณ์ว่าอย่างไร พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวว่า ทางผู้บังคับบัญชามีแนวทางอย่างชัดเจน ส่วนจะใช้แก๊สน้ำตาลหรือไม่นั้นตอบไม่ได้ แต่ก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยง ซึ่งขั้นตอนจะเริ่มจากการประกาศทางเครื่องขยายเสียงก่อนให้กลุ่มผู้ชุมนุมทราบว่าควรชุมนุมกันอย่างสงบ ถ้าไม่เชื่อฟังจะมีการใช้น้ำฉีดและการใช้แก๊สน้ำตาเป็นขั้นสุดท้าย และเชื่อว่าเหตุการณ์จะไม่รุนแรง เพราะคนไทยด้วยกัน
ขณะเดียวกันที่ห้องศัลยกรรมชาย-หญิง ชั้น 5 ตึก 1 รพ.รามาธิบดี ห้องพักรักษาตัว ของ นายยุทธพงษ์ เสมอภาค อายุ 22ปี ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุระเบิดและอาการหนักที่สุด ที่พักรักษาตัว อยู่บริเวณเตียงที่ 25 โดยทางเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าเยี่ยมโดยเฉพาะผู้สื่อข่าว โดยจะให้ทางญาติเข้าเยี่ยมเท่านั้น เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามอาการจากเจ้าหน้าที่พยาบาล ถึงอาการของผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิด แต่ทางเจ้าหน้าที่ขอให้รอการชี้แจงอย่างเป็นทางการจากผู้บริหาร แต่ในวันเสาร์ อาทิตย์ คงไม่มีผู้บริหารคนใดเข้ามาชี้แจงให้ผู้สื่อข่าวทราบ
ขณะที่ นายชุมพล เสมอภาค อายุ 44ปี อาชีพรับซื้อของเก่า อยู่บ้านเลขที่ 120/3 ถ.ดำรงรักษ์ แขวงและเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. บิดาของผู้ได้รับบาดเจ็บเปิดเผยว่า นายยุทธพงษ์ หรือน้องเหน่ง ขณะนี้ยังไม่รู้สึกตัว นอนให้ออกซิเจนอยู่ กล้ามเนื้อสมองตาย ต้องให้เครื่องหายใจตลอดเวลา และตนก็พยายามทำใจ หากถอดเครื่องหายใจก็คงจะเสียชีวิต ซึ่งขณะนี้รอนางยุพา เสมอภาค มารดาซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจสปาอยู่ที่ประเทศเยอรมนี เดินทางกลับมาก่อนว่าจะทำอย่างไรกับน้อง ซึ่งโดยปกติน้องเหน่งจะเดินทางมาร่วมกับพันธมิตร 3-4 วันต่ออาทิตย์ และมีหน้าที่แจกจ่ายอาหารให้แก่ ส.ห.และทหารที่อยู่รอบทำเนียบ เพราะน้องเหน่งมีจักรยานยนต์อยู่คันหนึ่ง และจะกลับบ้านประมาณเที่ยงคืนทุกวัน และเมื่อคืนนี้ตนนอนรออยู่และไม่กลับบ้าน จนกระทั่งทราบว่าถูกระเบิดและนำส่งรพ.รามาฯ และเมื่อคืนก่อนเกิดเหตุน้องเหน่งได้พูดกับเพื่อนว่าจะขออยู่ที่ชุมนุมที่พันธมิตรฯ จนดึกเป็นคืนสุดท้าย จนเกิดเหตุขึ้น