“หมอวิชัย” จวกพาณิชย์ถ้าไม่แกล้งโง่ คงใช้สามัญสำนึกรู้ได้ว่า สธ.ทำถูก ไม่บ้าจี้ตามบริษัทยาส่งกฤษฎีกาตีความ ไล่ให้ลาอออกถ้าอ่านกฎหมายไม่ออก ฉะ บริษัทยาเบี่ยงประเด็น ยัน สธ.ใช้อำนาจ ทำซีแอลถูกต้อง ด้าน สปสช.พร้อมแจกข้อมูลกฤษฎีกา
นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า การที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ยื่นให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความกรณีกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) การประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) ไม่สมบูรณ์นั้น ขอยืนยันว่า สธ.ดำเนินการกระบวนการประกาศซีแอลถูกต้องตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2535 ซึ่งในมาตรา 51 ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า อำนาจการประกาศซีแอลเป็นของทุกกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องโดยไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก พณ.ซึ่งต่างจากมาตรา 52 ที่ประกาศซีแอลในกรณีฉุกเฉิน หรือสงครามที่นายกรัฐมนตรีโดยมติคณะรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจในการใช้สิทธิ์นั้น รวมทั้งที่ผ่านมา ทีมประเมินการทำซีแอลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มาตรวจสอบขั้นตอนการทำซีแอลของไทย และได้ทำรายงานชัดเจนว่า ไทยทำซีแอลถูกต้อง และกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจอย่างเต็มที่
นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีการจ่ายค่าชดเชย สธ.ก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้ถูกต้องตามมาตรา 50 ที่ให้คู่กรณีเจรจาตกลงค่าชดเชย โดยผู้ที่ประกาศซีแอล ต้องแจ้งและเสนอค่าชดเชยให้บริษัทยาต้นตำรับรับทราบ หากบริษัทยา เห็นด้วย ก็ถือว่ากระบวนเสร็จสมบูรณ์ แต่หากไม่ตกลง จะต้องส่งเรื่องไปยัง กรมทรัพย์สินทางปัญญา ตัดสินว่า จะให้ชดเชยในมูลค่าเท่าใด และถ้ายังตกลงไม่ได้อีก ต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการทรัพย์ทางปัญญาวินิจฉัยตัดสิน กระบวนการสุดท้ายถ้าตกลงไม่ได้ คือ การฟ้องศาลทรัพย์สินทางปัญญา ถือว่าสิ้นสุดที่ขั้นตอนนี้
นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า หลังจากที่ได้ประกาศซีแอล ได้ทำหนังสือ 3 ฉบับ คือ 1.แจ้งบริษัทยาสามัญรับทราบและเสนอเงินชดเชย 2.แจ้งอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา และ 3.แจ้ง อภ.ให้นำเข้ายาสามัญ โดยขณะนี้ขั้นตอนการจ่ายค่าชดเชยให้ บริษัท ซาโนฟี่ อเวนติส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งยังไม่สิ้นสุด อยู่ในขั้นตอนที่ 2 คือ รอการตัดสินจากอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมเสนอค่าชดเชยร้อยละ 3 ของมูลค่าการซื้อยาสลายลิ่มเลือดหัวใจ หรือ โคลพิโดเกล จากประเทศอินเดีย ให้บริษัทยาต้นตำรับยอมรับ ซึ่งอัตราดังกล่าวเป็นไปตามที่ สธ.ได้เสนอไปก่อนหน้านี้ แต่บริษัทยา ยังไม่ยอมรับอัตราดังกล่าว
นพ.วิชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่ พณ.ยื่นเรื่องให้สำนักงานกฤษฎีกาตีความเรื่องอำนาจในการประกาศซีแอล เป็นการยื่นไปตามที่บริษัท ซาโนฟี่ เสนอ ซึ่งบริษัท ซาโนฟี่ พยายามจะทำให้สังคมเข้าใจว่า สธ.ทำซีแอลตามมาตรา 52 ที่อำนาจการตัดสินใจทำซีแอล เป็นของอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนกระทรวงทบวง กรม อื่น มีอำนาจแค่เสนอเจตนารมณ์เท่านั้น ซึ่ง สธ.ไม่ได้ทำซีแอล ตามมาตรานี้
“การยื่นเรื่องตีความครั้งนี้ เป็นการตั้งคำถามแบบมีเงื่อนงำ ใครที่ทำเรื่องนี้ เป็นการกระทำที่ไม่น่าจะสุจริต เพราะกฎหมายสิทธิบัตร เขียนไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญใดๆ มาตีความอีก เพราะมันชัดเจนจนปราศจากข้อสงสัย เรื่องนี้สามารถใช้สามัญสำนึกตีความได้เลย ถ้าไม่แกล้งโง่จะไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ หากกรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือ พณ. อ่านกฎหมายไม่เป็น ก็ควรลาออกดีกว่า อย่ามาทำหน้าที่เลย”นพ.วิชัย กล่าว
ด้านนพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้เตรียมข้อมูลที่จะชี้แจงคณะกรรมการกฤษฎีกาไว้เรียบร้อยแล้ว สปสช.เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะมีหน้าที่เสนอรายชื่อยา ที่มีปัญหาในการเข้าถึงยา ซึ่งการทำซีแอลที่ผ่านมา ทราบว่า สปสช.และ สธ.ได้ตรวจสอบ ข้อกฎหมายอย่างละเอียดและมั่นใจว่า ได้ทำซีแอลถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า การที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ยื่นให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความกรณีกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) การประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) ไม่สมบูรณ์นั้น ขอยืนยันว่า สธ.ดำเนินการกระบวนการประกาศซีแอลถูกต้องตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2535 ซึ่งในมาตรา 51 ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า อำนาจการประกาศซีแอลเป็นของทุกกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องโดยไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก พณ.ซึ่งต่างจากมาตรา 52 ที่ประกาศซีแอลในกรณีฉุกเฉิน หรือสงครามที่นายกรัฐมนตรีโดยมติคณะรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจในการใช้สิทธิ์นั้น รวมทั้งที่ผ่านมา ทีมประเมินการทำซีแอลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มาตรวจสอบขั้นตอนการทำซีแอลของไทย และได้ทำรายงานชัดเจนว่า ไทยทำซีแอลถูกต้อง และกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจอย่างเต็มที่
นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีการจ่ายค่าชดเชย สธ.ก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้ถูกต้องตามมาตรา 50 ที่ให้คู่กรณีเจรจาตกลงค่าชดเชย โดยผู้ที่ประกาศซีแอล ต้องแจ้งและเสนอค่าชดเชยให้บริษัทยาต้นตำรับรับทราบ หากบริษัทยา เห็นด้วย ก็ถือว่ากระบวนเสร็จสมบูรณ์ แต่หากไม่ตกลง จะต้องส่งเรื่องไปยัง กรมทรัพย์สินทางปัญญา ตัดสินว่า จะให้ชดเชยในมูลค่าเท่าใด และถ้ายังตกลงไม่ได้อีก ต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการทรัพย์ทางปัญญาวินิจฉัยตัดสิน กระบวนการสุดท้ายถ้าตกลงไม่ได้ คือ การฟ้องศาลทรัพย์สินทางปัญญา ถือว่าสิ้นสุดที่ขั้นตอนนี้
นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า หลังจากที่ได้ประกาศซีแอล ได้ทำหนังสือ 3 ฉบับ คือ 1.แจ้งบริษัทยาสามัญรับทราบและเสนอเงินชดเชย 2.แจ้งอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา และ 3.แจ้ง อภ.ให้นำเข้ายาสามัญ โดยขณะนี้ขั้นตอนการจ่ายค่าชดเชยให้ บริษัท ซาโนฟี่ อเวนติส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งยังไม่สิ้นสุด อยู่ในขั้นตอนที่ 2 คือ รอการตัดสินจากอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมเสนอค่าชดเชยร้อยละ 3 ของมูลค่าการซื้อยาสลายลิ่มเลือดหัวใจ หรือ โคลพิโดเกล จากประเทศอินเดีย ให้บริษัทยาต้นตำรับยอมรับ ซึ่งอัตราดังกล่าวเป็นไปตามที่ สธ.ได้เสนอไปก่อนหน้านี้ แต่บริษัทยา ยังไม่ยอมรับอัตราดังกล่าว
นพ.วิชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่ พณ.ยื่นเรื่องให้สำนักงานกฤษฎีกาตีความเรื่องอำนาจในการประกาศซีแอล เป็นการยื่นไปตามที่บริษัท ซาโนฟี่ เสนอ ซึ่งบริษัท ซาโนฟี่ พยายามจะทำให้สังคมเข้าใจว่า สธ.ทำซีแอลตามมาตรา 52 ที่อำนาจการตัดสินใจทำซีแอล เป็นของอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนกระทรวงทบวง กรม อื่น มีอำนาจแค่เสนอเจตนารมณ์เท่านั้น ซึ่ง สธ.ไม่ได้ทำซีแอล ตามมาตรานี้
“การยื่นเรื่องตีความครั้งนี้ เป็นการตั้งคำถามแบบมีเงื่อนงำ ใครที่ทำเรื่องนี้ เป็นการกระทำที่ไม่น่าจะสุจริต เพราะกฎหมายสิทธิบัตร เขียนไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญใดๆ มาตีความอีก เพราะมันชัดเจนจนปราศจากข้อสงสัย เรื่องนี้สามารถใช้สามัญสำนึกตีความได้เลย ถ้าไม่แกล้งโง่จะไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ หากกรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือ พณ. อ่านกฎหมายไม่เป็น ก็ควรลาออกดีกว่า อย่ามาทำหน้าที่เลย”นพ.วิชัย กล่าว
ด้านนพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้เตรียมข้อมูลที่จะชี้แจงคณะกรรมการกฤษฎีกาไว้เรียบร้อยแล้ว สปสช.เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะมีหน้าที่เสนอรายชื่อยา ที่มีปัญหาในการเข้าถึงยา ซึ่งการทำซีแอลที่ผ่านมา ทราบว่า สปสช.และ สธ.ได้ตรวจสอบ ข้อกฎหมายอย่างละเอียดและมั่นใจว่า ได้ทำซีแอลถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
