จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม!!! ข่าวจากเกาะอังกฤษบอกว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ได้ทำการศึกษาวัดไอคิวกลุ่มตัวอย่างกว่า 8,000 คน ที่เกิดในปี ค.ศ.1970 ซึ่งถูกวัดไอคิวเมื่ออายุ 10 ขวบ พบว่า กลุ่มสำรวจที่ปัจจุบันอายุ 36 ปีมีอยู่ 366 คน หรือไม่ถึง 1 ใน 20 กินมังสวิรัติ
ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ เมื่อเทียบผู้ที่กินเนื้อสัตว์กับชาวมังสวิรัติแล้วพบว่า คนที่กินมังสวิรัติมีระดับไอคิวสูงกว่าผู้บริโภคเนื้อเป็นประจำกว่า 5 จุด กระนั้นกลุ่มที่เรียกตนเองว่าเป็นชาวมังสวิรัติในสหราชอาณาจักรยังคงกินปลาและไก่อยู่...นี่คือ ความเชื่อและผลที่ผ่านการทดสอบแล้วของฝั่งยุโรป
หากแต่ตามความเชื่อในแนวทางของตะวันออกมีหลักความเชื่อของการกินมังสวิรัติที่แตกต่างไป โดยเชื่อว่า หากเรางดเว้นการกินเนื้อสัตว์ได้จะสามารถบรรเทาบาปเคราะห์ให้เบาบาง นอกจากนั้นยังจะส่งผลถึงความเป็นไปของโรคภัยโดยตรง เพราะเชื่อว่าการงดเนื้อสัตว์ และเสริมพลังด้วยนานาผัก ผลไม้ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง พลานามัยดี อายุยืนยาว
ในงานสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “อาหารกับความเชื่อในสังคมไทย” ของสถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถผูกโยงความเชื่อของแต่ละศาสนาให้เข้ากับกระแสสุขภาพได้อย่างดี ส่วนใครจะเลือกวิธีการใดก็ไม่ว่ากัน...
** อายุยืนด้วยผักตามหลักเต๋า
ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ศึกษาเต๋ามานานและเป็นผู้ที่คลุกคลีกับวิถีเจและมังสวิรัติมาเกือบตลอดชีวิต บอกเล่าว่า ลัทธิเต๋าเชื่อว่าการงดเว้นเนื้อสัตว์ทั้งปวงเป็นการให้ชีวิต เมื่อไม่มีผู้กินก็ไม่มีผู้ฆ่า การกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารจึงเลี่ยงได้ และผลของการไม่ฆ่าและเลี่ยงนั้นจะทำให้เรามีร่างกายแข็งแรง
“เต๋า เชื่อว่า เนื้อสัตว์มีเชื้อโรคมาก ยิ่งหากตายด้วยวิธีการฆ่าพวกมันจะหลั่งสารที่เป็นโทษ เมื่อคนกินเนื้อก็จะได้รับสารนั้นไปด้วย เพราะฉะนั้นเชื่อเถิดว่าคนอยู่ได้และจะไม่ป่วย ถ้าไม่ต้องกินสัตว์ ที่บอกแบบนี้เพราะหลายคนยังมีความคิดผิดๆ ว่าถ้าไม่กินเนื้อเลยจะไม่แข็งแรง ขาดโปรตีนซึ่งไม่ใช่ ต้องคิดใหม่ เราหาโปรตีนจากพืชได้เยอะแยะ”
ในความเชื่อของลัทธิเต๋านั้น หากอยากอายุยืนต้องยุติการกินธัญพืช 5 ชนิด อันได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และถั่วต่างๆ แล้วหันมาเน้นสมุนไพร ผลไม้ที่ให้พลังเช่นโสม อบเชย ชะเอม พุทรา โดยผู้ปฏิบัติมาแล้วอย่างศ.ดร.สุรชัย ยืนยันว่าหากงดธัญพืชทั้ง 5 ชนิดนี้หลัง 40 วันร่างกายจะกลับมาสดชื่น และหากปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอพละกำลังจะกลับมาเฉกเช่นคนหนุ่มคนสาว
** จีนนิกายชูข้าวต้มให้คุณธัญพืช
ฟากฝั่งพุทธศาสนา นิกายมหายาน (จีนนิกาย) แม้จะมีหลักไม่กินเนื้อสัตว์เช่นเดียวกับลัทธิเต๋า หากแต่ไม่มีข้อห้ามกินธัญพืช กลับชูเป็นตัวสร้างพละกำลังเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างอันเป็นที่นิยมและง่ายต่อการเห็นภาพมากที่สุด คือ “ข้าวต้ม” ที่ทำจากข้าวสาลี อาหารที่พระจีนมักฉันในเวลาเช้า โดยอาหารตามหลักความเชื่อของจีนนิกายนี้จะเน้นรสชาติทั้ง 6 อันได้แก่ เปรี้ยว หวาน ฝาด ขม เค็ม และเผ็ด
เศรษฐพงษ์ จงสงวน ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน ได้แจกแจงคุณค่า 10 ประการของข้าวต้มว่า เป็นเครื่องต่ออายุ บรรเทาความกระหาย กำจัดความหิว บำรุงผิวพรรณ สร้างความคิด เพิ่มกำลัง ให้ความสุข ล้างลำไส้ ลมเดินสะดวก และเป็นเครื่องย่อยอาหารเก่า
“ไม่เพียงข้าวต้มที่พระจีนนิยมฉันเท่านั้น ชาวจีนนิกายยังทำอาหารประเภทนี้ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาด้วย ดังเช่นข้าวต้มรัตนะ 8 ประการ หรือจะเรียกว่าข้าวต้มธัญพืช 8 ชนิดก็ได้ เป็นที่นิยมมากสำหรับพุทธมหายาน ซึ่งทุกบ้านในประเทศจีนตอนใต้จะพร้อมใจกันทำในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจีน เครื่องปรุงมีข้าวเหนียว ถั่ว ผลไม้แห้ง เครื่องยาจีน และธัญพืชรวมกันแล้วได้ 8 อย่าง หน้าตาจะคล้ายกับข้าวเหนียวเปียกบ้านเรา แต่เป็นอาหารมงคลสำหรับชาวนิกายมหายาน แต่ทุกวันนี้เขามักจะทำกินกันเกือบทุกฤดูไปแล้ว” เศรษฐพงษ์ อธิบาย
อย่างไรก็ตามชาวจีนนิกายยังมีพิธีการก่อนรับประทานอาหารคล้ายคลึงกับเถรวาทนั้นคือต้องถวายพระรัตนตรัยก่อน จากนั้นค่อยพิจารณาอาหารอย่างรู้ประมาณ และมองอาหารเป็นเสมือนเภสัชบำบัดความหิวมิใช่บำรุงกิเลส
** บริสุทธิ์ตามแนวซิกข์นามธารี
ด้าน อ.อัมรินทร์ ปิยะสัจจะเดชะ ประธานฝ่ายกิจกรรมนามธารี อันเป็น 1 ใน 2 นิกาย ของศาสนาซิกข์ในประเทศไทย บอกเช่นกันว่า นามธารี ได้ให้ความสำคัญของอาหารไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าศาสนาอื่นๆ โดยมีแนวทางกินมังสวิรัติเช่นเดียวกับอีกหลายความเชื่อ แต่อาจจะเคร่งครัดกว่าตรงที่ว่า ซิกข์นามธารีจะไม่ยอมรับมังสวิรัติที่ถือว่าไม่บริสุทธิ์และไม่ตรงกับหลักความเชื่อ กล่าวคือ นิกายนามธารีจะดื่มน้ำบริสุทธิ์ที่มาจากธรรมชาติเช่นน้ำฝน อาบน้ำ และปรุงอาหารจากธรรมชาติเท่านั้น
“สิ่งที่เราทำ คือ เจ หรือมังสะที่ไม่เบียดเบียนกับจิตวิญญาณผู้อื่น ดังนั้นมังสวิรัติของซิกข์นามธารีนั้นจะไม่ผ่านการฆ่าไม่ว่าด้วยวิธีการใด แต่ที่รารับประทานพืชผักเป็นอาหารนั้น เพราะเราเชื่อว่าพืชพรรณธัญญาหารเป็นอาหารของสัตว์โลก มีจิตวิญญาณแต่สนองตอบต่อความรู้สึกเจ็บปวดน้อยที่สุด และเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ยิ่งถูกนำมาเป็นอาหารมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแพร่ขยายพันธุ์ไปมากเท่านั้น” อ.อัมรินทร์ อธิบาย
สำหรับเหตุผลของผู้คนในปัจจุบันที่เข้าใกล้คำว่ามังสวิรัติ หรือกลายเป็นมังสวิรัติมากขึ้นในวันนี้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากความเชื่อของแต่ละศาสนาเรื่องบาปบุญ และการหลุดพ้น แต่มีจำนวนไม่น้อยที่หันมาเป็นชาวมังสะวิรัติเพราะกระแสสุขภาพ หรืออาการเจ็บป่วยด้วยเชื่อว่าการงดเว้นเนื้อสัตว์จะทำให้อายุยืนและสุขภาพแข็งแรง
อย่างไรก็ตาม ทั้งความเชื่อทางศาสนาก็ผูกเข้ากับสุขภาพเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพราะไม่ว่าศาสนาใดก็ต่างเชื่อว่าการไม่เบียดเบียนชีวิตอื่นคือการสร้างบุญ ดังนั้น การกินพืชผักจึงเป็นการสร้างบุญและสร้างสุขภาพที่ดีไปในคราวเดียวกัน
ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ เมื่อเทียบผู้ที่กินเนื้อสัตว์กับชาวมังสวิรัติแล้วพบว่า คนที่กินมังสวิรัติมีระดับไอคิวสูงกว่าผู้บริโภคเนื้อเป็นประจำกว่า 5 จุด กระนั้นกลุ่มที่เรียกตนเองว่าเป็นชาวมังสวิรัติในสหราชอาณาจักรยังคงกินปลาและไก่อยู่...นี่คือ ความเชื่อและผลที่ผ่านการทดสอบแล้วของฝั่งยุโรป
หากแต่ตามความเชื่อในแนวทางของตะวันออกมีหลักความเชื่อของการกินมังสวิรัติที่แตกต่างไป โดยเชื่อว่า หากเรางดเว้นการกินเนื้อสัตว์ได้จะสามารถบรรเทาบาปเคราะห์ให้เบาบาง นอกจากนั้นยังจะส่งผลถึงความเป็นไปของโรคภัยโดยตรง เพราะเชื่อว่าการงดเนื้อสัตว์ และเสริมพลังด้วยนานาผัก ผลไม้ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง พลานามัยดี อายุยืนยาว
ในงานสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “อาหารกับความเชื่อในสังคมไทย” ของสถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถผูกโยงความเชื่อของแต่ละศาสนาให้เข้ากับกระแสสุขภาพได้อย่างดี ส่วนใครจะเลือกวิธีการใดก็ไม่ว่ากัน...
** อายุยืนด้วยผักตามหลักเต๋า
ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ศึกษาเต๋ามานานและเป็นผู้ที่คลุกคลีกับวิถีเจและมังสวิรัติมาเกือบตลอดชีวิต บอกเล่าว่า ลัทธิเต๋าเชื่อว่าการงดเว้นเนื้อสัตว์ทั้งปวงเป็นการให้ชีวิต เมื่อไม่มีผู้กินก็ไม่มีผู้ฆ่า การกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารจึงเลี่ยงได้ และผลของการไม่ฆ่าและเลี่ยงนั้นจะทำให้เรามีร่างกายแข็งแรง
“เต๋า เชื่อว่า เนื้อสัตว์มีเชื้อโรคมาก ยิ่งหากตายด้วยวิธีการฆ่าพวกมันจะหลั่งสารที่เป็นโทษ เมื่อคนกินเนื้อก็จะได้รับสารนั้นไปด้วย เพราะฉะนั้นเชื่อเถิดว่าคนอยู่ได้และจะไม่ป่วย ถ้าไม่ต้องกินสัตว์ ที่บอกแบบนี้เพราะหลายคนยังมีความคิดผิดๆ ว่าถ้าไม่กินเนื้อเลยจะไม่แข็งแรง ขาดโปรตีนซึ่งไม่ใช่ ต้องคิดใหม่ เราหาโปรตีนจากพืชได้เยอะแยะ”
ในความเชื่อของลัทธิเต๋านั้น หากอยากอายุยืนต้องยุติการกินธัญพืช 5 ชนิด อันได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และถั่วต่างๆ แล้วหันมาเน้นสมุนไพร ผลไม้ที่ให้พลังเช่นโสม อบเชย ชะเอม พุทรา โดยผู้ปฏิบัติมาแล้วอย่างศ.ดร.สุรชัย ยืนยันว่าหากงดธัญพืชทั้ง 5 ชนิดนี้หลัง 40 วันร่างกายจะกลับมาสดชื่น และหากปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอพละกำลังจะกลับมาเฉกเช่นคนหนุ่มคนสาว
** จีนนิกายชูข้าวต้มให้คุณธัญพืช
ฟากฝั่งพุทธศาสนา นิกายมหายาน (จีนนิกาย) แม้จะมีหลักไม่กินเนื้อสัตว์เช่นเดียวกับลัทธิเต๋า หากแต่ไม่มีข้อห้ามกินธัญพืช กลับชูเป็นตัวสร้างพละกำลังเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างอันเป็นที่นิยมและง่ายต่อการเห็นภาพมากที่สุด คือ “ข้าวต้ม” ที่ทำจากข้าวสาลี อาหารที่พระจีนมักฉันในเวลาเช้า โดยอาหารตามหลักความเชื่อของจีนนิกายนี้จะเน้นรสชาติทั้ง 6 อันได้แก่ เปรี้ยว หวาน ฝาด ขม เค็ม และเผ็ด
เศรษฐพงษ์ จงสงวน ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน ได้แจกแจงคุณค่า 10 ประการของข้าวต้มว่า เป็นเครื่องต่ออายุ บรรเทาความกระหาย กำจัดความหิว บำรุงผิวพรรณ สร้างความคิด เพิ่มกำลัง ให้ความสุข ล้างลำไส้ ลมเดินสะดวก และเป็นเครื่องย่อยอาหารเก่า
“ไม่เพียงข้าวต้มที่พระจีนนิยมฉันเท่านั้น ชาวจีนนิกายยังทำอาหารประเภทนี้ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาด้วย ดังเช่นข้าวต้มรัตนะ 8 ประการ หรือจะเรียกว่าข้าวต้มธัญพืช 8 ชนิดก็ได้ เป็นที่นิยมมากสำหรับพุทธมหายาน ซึ่งทุกบ้านในประเทศจีนตอนใต้จะพร้อมใจกันทำในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจีน เครื่องปรุงมีข้าวเหนียว ถั่ว ผลไม้แห้ง เครื่องยาจีน และธัญพืชรวมกันแล้วได้ 8 อย่าง หน้าตาจะคล้ายกับข้าวเหนียวเปียกบ้านเรา แต่เป็นอาหารมงคลสำหรับชาวนิกายมหายาน แต่ทุกวันนี้เขามักจะทำกินกันเกือบทุกฤดูไปแล้ว” เศรษฐพงษ์ อธิบาย
อย่างไรก็ตามชาวจีนนิกายยังมีพิธีการก่อนรับประทานอาหารคล้ายคลึงกับเถรวาทนั้นคือต้องถวายพระรัตนตรัยก่อน จากนั้นค่อยพิจารณาอาหารอย่างรู้ประมาณ และมองอาหารเป็นเสมือนเภสัชบำบัดความหิวมิใช่บำรุงกิเลส
** บริสุทธิ์ตามแนวซิกข์นามธารี
ด้าน อ.อัมรินทร์ ปิยะสัจจะเดชะ ประธานฝ่ายกิจกรรมนามธารี อันเป็น 1 ใน 2 นิกาย ของศาสนาซิกข์ในประเทศไทย บอกเช่นกันว่า นามธารี ได้ให้ความสำคัญของอาหารไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าศาสนาอื่นๆ โดยมีแนวทางกินมังสวิรัติเช่นเดียวกับอีกหลายความเชื่อ แต่อาจจะเคร่งครัดกว่าตรงที่ว่า ซิกข์นามธารีจะไม่ยอมรับมังสวิรัติที่ถือว่าไม่บริสุทธิ์และไม่ตรงกับหลักความเชื่อ กล่าวคือ นิกายนามธารีจะดื่มน้ำบริสุทธิ์ที่มาจากธรรมชาติเช่นน้ำฝน อาบน้ำ และปรุงอาหารจากธรรมชาติเท่านั้น
“สิ่งที่เราทำ คือ เจ หรือมังสะที่ไม่เบียดเบียนกับจิตวิญญาณผู้อื่น ดังนั้นมังสวิรัติของซิกข์นามธารีนั้นจะไม่ผ่านการฆ่าไม่ว่าด้วยวิธีการใด แต่ที่รารับประทานพืชผักเป็นอาหารนั้น เพราะเราเชื่อว่าพืชพรรณธัญญาหารเป็นอาหารของสัตว์โลก มีจิตวิญญาณแต่สนองตอบต่อความรู้สึกเจ็บปวดน้อยที่สุด และเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ยิ่งถูกนำมาเป็นอาหารมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแพร่ขยายพันธุ์ไปมากเท่านั้น” อ.อัมรินทร์ อธิบาย
สำหรับเหตุผลของผู้คนในปัจจุบันที่เข้าใกล้คำว่ามังสวิรัติ หรือกลายเป็นมังสวิรัติมากขึ้นในวันนี้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากความเชื่อของแต่ละศาสนาเรื่องบาปบุญ และการหลุดพ้น แต่มีจำนวนไม่น้อยที่หันมาเป็นชาวมังสะวิรัติเพราะกระแสสุขภาพ หรืออาการเจ็บป่วยด้วยเชื่อว่าการงดเว้นเนื้อสัตว์จะทำให้อายุยืนและสุขภาพแข็งแรง
อย่างไรก็ตาม ทั้งความเชื่อทางศาสนาก็ผูกเข้ากับสุขภาพเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพราะไม่ว่าศาสนาใดก็ต่างเชื่อว่าการไม่เบียดเบียนชีวิตอื่นคือการสร้างบุญ ดังนั้น การกินพืชผักจึงเป็นการสร้างบุญและสร้างสุขภาพที่ดีไปในคราวเดียวกัน