สพฐ.คุมเข้มการเรียกเก็บเงินของ ร.ร.กำหนดบริการเสริมที่ ร.ร.เรียกเก็บเงินเพิ่มได้ต้องเข้า 4 ลักษณะสำคัญเท่านั้น ส่วนรายการท็อปฮิตอย่าง ค่าคอมพิวเตอร์ อาจมีการตั้งเงื่อนไขให้เรียกเก็บได้ ถ้า ร.ร.มีคอมฯบริการเกิน 1 เครื่องต่อ 20 คน ประกันชีวิตเบิกไม่ได้ แต่ สพฐ.เสนอเบิกเหมารายเทอม
นางผานิต มีสุนทร ผู้อำนวยการสำนักการคลังและสินทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการยกร่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าด้วยเงินบำรุงการศึกษา ว่าภายหลังที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากผู้ปกครองได้ในกรณีที่ ร.ร.จัดบริการการศึกษานอกเหนือหลักสูตรนั้น ทาง สพฐ.ได้ประชุมร่วมกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา และตัวแทนโรงเรียนสาธิต หารือเรื่องดังกล่าว เพื่อจะนำใช้เป็นหลักเกณฑ์ควบคุมการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมของสถานศึกษา
ผลการประชุมพอสรุปได้ว่า ในร่างประกาศ ศธ.ดังกล่าว จะระบุกว้างๆ ว่า สถานศึกษาสามารถเก็บเงินบำรุงการศึกษาเพิ่มเติมจากผู้ปกครองได้ เฉพาะการให้บริการพิเศษนอกเหนือหลักสูตร แต่ให้เป็นความสมัครใจของนักเรียนว่า จะเลือกรับบริการพิเศษหรือไม่ และวงเงินที่ ร.ร.เรียกเก็บนั้นจะต้องคำนึงถึงความจำเป็นและฐานะของคนในพื้นที่ด้วย อย่างไรก็ตาม ให้แต่สังกัดไปออกแนวปฏิบัติกับกำหนดรายละเอียด
“หลักสำคัญที่ประชุมตกลงกันว่า ประกาศ ศธ.ฉบับนี้ จะมีผลตั้งแต่ปีการศึกษา 2551 หมายความว่า ข้าราชการจะเบิกค่าเทอมภาคเรียนที่ 1 ย้อนหลังได้ และคณะทำงานจะเร่งยกร่างประกาศ ศธ.ให้เร็วที่สุด และนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณา”
สำหรับ สพฐ.นั้น กำลังยกร่างแนวปฏิบัติว่าด้วย การเก็บเงินบำรุงการศึกษาอยู่ จะระบุชัดเจนว่า บริการการศึกษาใดบ้าง เป็นการจัดการศึกษาตามหลักสูตรที่ ร.ร.ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากผู้ปกครองได้ และที่ประชุมเห็นตรงกันว่าจะ ร.ร.ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้มีอยู่ 3 รายการ คือ วัสดุฝึกสอน อุปกรณ์กีฬา และค่าบัตรประจำตัวนักเรียน ส่วนรายการอื่นๆ กำลังหารืออยู่
ทั้งนี้ แนวปฏิบัติจะระบุชัดเจนเช่นกัน ว่า บริการการศึกษาที่เข้าข่ายเป็นการจัดการศึกษานอกหลักสูตรต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดบ้าง เบื้องต้นจะต้องมีคุณสมบัติ 4 ประการ คือ 1.เป็นการสอนเนื้อหาสาระมากกว่าหลักสูตรตามปกติ 2.รูปแบบการเรียนการสอนเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น English Program ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ 3.มีการใช้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ เช่น การจ้างครูต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษ และ 4.จัดนอกเหนือเวลาเรียนปกติ
นางผานิต กล่าวต่อว่า ร.ร.มักจะเรียกเก็บ จะเป็นค่าจ้างครูชาวต่างชาติมาสอนภาษาและค่าคอมพิวเตอร์ ซึ่งตรงส่วนนี้ คุณหญิงกษมา ต้องการให้กำหนดเครื่องคอมพิวเตอร์ให้บริการนักเรียนเกินมาตรฐานคือ 1 เครื่อง ต่อ 20 คน จะขอเก็บค่าคอมพิวเตอร์ได้ ส่วนการจ้างครูชาวต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษนั้น ร.ร.จะต้องจัดให้เด็กที่ไม่ได้จ่ายเงินเลือกรับบริการนี้ มีโอกาสเรียนกับครูต่างชาติด้วย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง
“ร.ร.จัดบริการนอกเหนือหลักสูตรทุกรายการจะเบิกได้ เฉพาะรายการที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนเท่านั้นส่วนประกันชีวิตนั้น กรมบัญชีกลางมองว่า ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนและเด็กเป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรง อาจไม่อนุญาตให้เบิก ส่วนค่าแอร์ ยังไม่ชัดเจนว่า จะอนุญาตให้เบิกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สพฐ.ได้เสนอให้ กรมบัญชีให้เบิกแบบเหมาจ่ายรายเทอม ไม่ต้องมาลงรายละเอียดว่า เป็นการเบิกในรายการใดบ้าง เรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา”
นางผานิต มีสุนทร ผู้อำนวยการสำนักการคลังและสินทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการยกร่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าด้วยเงินบำรุงการศึกษา ว่าภายหลังที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากผู้ปกครองได้ในกรณีที่ ร.ร.จัดบริการการศึกษานอกเหนือหลักสูตรนั้น ทาง สพฐ.ได้ประชุมร่วมกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา และตัวแทนโรงเรียนสาธิต หารือเรื่องดังกล่าว เพื่อจะนำใช้เป็นหลักเกณฑ์ควบคุมการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมของสถานศึกษา
ผลการประชุมพอสรุปได้ว่า ในร่างประกาศ ศธ.ดังกล่าว จะระบุกว้างๆ ว่า สถานศึกษาสามารถเก็บเงินบำรุงการศึกษาเพิ่มเติมจากผู้ปกครองได้ เฉพาะการให้บริการพิเศษนอกเหนือหลักสูตร แต่ให้เป็นความสมัครใจของนักเรียนว่า จะเลือกรับบริการพิเศษหรือไม่ และวงเงินที่ ร.ร.เรียกเก็บนั้นจะต้องคำนึงถึงความจำเป็นและฐานะของคนในพื้นที่ด้วย อย่างไรก็ตาม ให้แต่สังกัดไปออกแนวปฏิบัติกับกำหนดรายละเอียด
“หลักสำคัญที่ประชุมตกลงกันว่า ประกาศ ศธ.ฉบับนี้ จะมีผลตั้งแต่ปีการศึกษา 2551 หมายความว่า ข้าราชการจะเบิกค่าเทอมภาคเรียนที่ 1 ย้อนหลังได้ และคณะทำงานจะเร่งยกร่างประกาศ ศธ.ให้เร็วที่สุด และนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณา”
สำหรับ สพฐ.นั้น กำลังยกร่างแนวปฏิบัติว่าด้วย การเก็บเงินบำรุงการศึกษาอยู่ จะระบุชัดเจนว่า บริการการศึกษาใดบ้าง เป็นการจัดการศึกษาตามหลักสูตรที่ ร.ร.ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากผู้ปกครองได้ และที่ประชุมเห็นตรงกันว่าจะ ร.ร.ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้มีอยู่ 3 รายการ คือ วัสดุฝึกสอน อุปกรณ์กีฬา และค่าบัตรประจำตัวนักเรียน ส่วนรายการอื่นๆ กำลังหารืออยู่
ทั้งนี้ แนวปฏิบัติจะระบุชัดเจนเช่นกัน ว่า บริการการศึกษาที่เข้าข่ายเป็นการจัดการศึกษานอกหลักสูตรต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดบ้าง เบื้องต้นจะต้องมีคุณสมบัติ 4 ประการ คือ 1.เป็นการสอนเนื้อหาสาระมากกว่าหลักสูตรตามปกติ 2.รูปแบบการเรียนการสอนเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น English Program ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ 3.มีการใช้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ เช่น การจ้างครูต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษ และ 4.จัดนอกเหนือเวลาเรียนปกติ
นางผานิต กล่าวต่อว่า ร.ร.มักจะเรียกเก็บ จะเป็นค่าจ้างครูชาวต่างชาติมาสอนภาษาและค่าคอมพิวเตอร์ ซึ่งตรงส่วนนี้ คุณหญิงกษมา ต้องการให้กำหนดเครื่องคอมพิวเตอร์ให้บริการนักเรียนเกินมาตรฐานคือ 1 เครื่อง ต่อ 20 คน จะขอเก็บค่าคอมพิวเตอร์ได้ ส่วนการจ้างครูชาวต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษนั้น ร.ร.จะต้องจัดให้เด็กที่ไม่ได้จ่ายเงินเลือกรับบริการนี้ มีโอกาสเรียนกับครูต่างชาติด้วย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง
“ร.ร.จัดบริการนอกเหนือหลักสูตรทุกรายการจะเบิกได้ เฉพาะรายการที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนเท่านั้นส่วนประกันชีวิตนั้น กรมบัญชีกลางมองว่า ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนและเด็กเป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรง อาจไม่อนุญาตให้เบิก ส่วนค่าแอร์ ยังไม่ชัดเจนว่า จะอนุญาตให้เบิกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สพฐ.ได้เสนอให้ กรมบัญชีให้เบิกแบบเหมาจ่ายรายเทอม ไม่ต้องมาลงรายละเอียดว่า เป็นการเบิกในรายการใดบ้าง เรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา”