xs
xsm
sm
md
lg

เตือนเล่นน้ำในห้วย หนอง คลอง บึง เสี่ยงโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“หมอประเสริฐ” เตือนคนลงเล่นน้ำห้วย หนอง คลองบึง เสี่ยงโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเป็นหนอง เหตุอะมีบาเติบโตดี ภาวะโลกร้อน ส่งผลแหล่งน้ำธรรมชาติร้อนขึ้น ชี้จับตาโรคลีเจียแนร์ หรือโรคสหายสงคราม ติดเชื้อจากหอผึ่งเย็น สปา น้ำพุ เครื่องพ่นละอองฝอยแพร่เชื้อ

วันนี้ (12 มิ.ย.) ที่อิมแพค เมืองทองธานี ในการประชุมวิชาการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ครั้งที่ 16 ศ.นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ที่ปรึกษาภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวในการบรรยายเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงของโรคในภาวะโลกร้อน” ว่า ภาวะโลกร้อนมีผลให้การเจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ของเชื้อโรคและพาหะนำโรคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้ออะมีบาในแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง ซึ่งในประเทศไทยมีอยู่ 2 สายพันธุ์ เมื่อน้ำร้อนขึ้นเชื้อชนิดนี้ จะเจริญเติบโตได้ดี เด็ก หรือผู้ใหญ่ที่ลงเล่นน้ำแล้วสำลักเชื้ออะมีบา เข้าไปจะทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเป็นหนอง แม้ปัจจุบันในประเทศไทยจะมีรายงานผู้ที่ได้รับเชื้อนี้จำนวนไม่มาก แต่มีรายงานพบมากขึ้น จำเป็นที่ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันป้องกัน

นพ.ประเสริฐ กล่าวต่อว่า ที่สำคัญ โรคลีเจียแนร์ หรือโรคสหายสงคราม จากเชื้อลีเจียเน็ลลา นิวโมฟิลลา ส่งผลให้เกิดโรคปอดบวม เป็นโรคอุบัติใหม่ที่ประเทศไทยต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อาศัยและเจริญเติบโตได้ดีในน้ำอุ่น หรือที่อุณหภูมิเฉลี่ย 35-46 องศาเซลเซียส แหล่งแพร่เชื้อ เช่น หอผึ่งเย็นของอาคาร สปา น้ำพุประดับ เครื่องพ่นละอองฝอย เครื่องผลิตความชื้น น้ำพุร้อน และน้ำในแหล่งน้ำที่ร้อน เป็นต้น โดยเชื้อสามารถแพร่กระจายไปได้ไกลไม่น้อยกว่า 6 กิโลเมตร ติดต่อทางการหายใจ ไม่พบการติดต่อจากคนสู่คน อาการของโรคมีไข้สูง ไอมีเสมหะ เจ็บหน้าอก ท้องเดิน บางรายมีอาการทางสมอง ซึม ชัก ในประเทศไทยยังไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต แต่ในต่างประเทศมีรายงานการเสียชีวิตและอัตราป่วยสูงขึ้น การวินิจฉัยโรคทำได้โดยการตรวจร่างกายทางกายภาพ ตรวจภาพรังสีปอด และเพาะเชื้อจากเสมหะ การป้องกันสามารถทำได้ด้วยการทำความสะอาดแหล่งแพร่เชื้อบ่อยๆ

“ส่วนโรคที่พบบ่อยในประเทศไทย เช่น ไข้เลือดออก และอหิวาตกโรค ยังจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโรคไข้เลือดออกปกติไม่ควรพบผู้ป่วยเกิน 1% ของประชากรประเทศ แต่ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยในประเทศไทยใกล้เคียง 1% มากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะถึง 1% เมื่อสิ้นปี 2551 ทั้งที่ไทยเคยประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคนี้ให้อยู่ในระดับเกือบ 0% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ยุงเพิ่มจำนวนมากขึ้นและการวินิจฉัยล่าช้า ขณะที่อหิวาตกโรคเริ่มพบรายงานการกลับมาระบาด เนื่องจากอากาศร้อนและแห้งแล้ง แมลงวันแหล่งแพร่เชื้อโรคนี้เติบโตได้ดี ประชาชนจึงต้องให้ความร่วมมือในการควบคุมไม่ให้โรคแพร่ระบาดด้วยการกินอาหารสุกและดื่มน้ำสะอาด” ศ.นพ.ประเสริฐ กล่าว

ทั้งนี้ กฤษณา ภูริกิตติชัย และคณะ จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้นำนำเสนอผลการวิจัย เรื่อง “สถานการณ์การดื้อยาของเชื้ออหิวาตกโรคในประเทศไทย” โดยเฝ้าระวังเชื้ออหิวาตกโรคที่แยกได้จากผู้ป่วยและสิ่งแวดล้อมจากโรงพยาบาลและศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2550 – 30 เม.ย. 2551 จำนวน 517 สายพันธุ์ จากนั้นนำเชื้อทั้งหมดมาทดสอบความไวต่อยาต้านจุลชีพ พบว่า เชื้ออหิวาตกโรคในประเทศไทยดื้อต่อยา Cotrimoxazole อัตรา 96.9-100% แต่ไวต่อยา Ampicillin โดยมีอัตราดื้อยาเพียง 0.3-1.2%
กำลังโหลดความคิดเห็น