ในยุคที่ทุกคนนั่งกุมขมับกับข้าวของที่ขึ้นราคารายวัน ทำให้ผู้คนต่างดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด ทุ่มเวลาให้แก่งานชนิดที่ลืมดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง และกับภาวะบ้านเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ส่งผลให้หลายคนโดนโรคเครียดถามหา หรือโรคที่เกิดจากการเมื่อยล้าของการทำงานหนัก และอะไรต่อมิอะไรที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนั้นเราควรหันกลับมาดูแลสุขภาพกันบ้าง...
“คลินิกการแพทย์แผนจีน” วิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม น่าจะตอบโจทย์ให้แก่ผู้ที่รักในการดูแลสุขภาพได้ดีทางหนึ่ง ด้วยศาสตร์การป้องกันรักษาตามต้นตำรับจากประเทศจีน
** แหล่งผลิตหมอจีนเลือดใหม่
รศ.พรผจง เลาหวิเชียร ผู้อำนวยการวิทยาลัยการแพทย์แผนจีน มรภ.จันทรเกษม ให้ภาพเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า คลินิกแห่งนี้มีการให้บริการศาสตร์การรักษาแบบจีน ทั้งการวินิจฉัยโรค เวชกรรม และการใช้ยาสมุนไพรจีน โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้การรักษา อีกทั้งยังเป็นแหล่งเสริมประสบการณ์ให้แก่นักศึกษาในหลักสูตรการแพทย์แผนจีนบัณฑิต ซึ่งเป็นหลักสูตรแพทย์จีนแห่งแรกในไทยได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เมื่อจบออกไปแล้วสามารถประกอบวิชาชีพแพทย์ได้ โดยมีใบประกอบโรคศิลปะแพทย์แผนจีนโดยถูกต้อง
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ที่นี่เป็นเหมือนสถานที่เพาะบ่มแพทย์แผนจีนสายเลือดใหม่ให้เกิดขึ้นในเมืองไทยอีกด้วย
รศ.พรผจง ขยายความว่า ใบประกอบโรคศิลปะของแพทย์จีนนั้นจะมีการระบุไว้ว่า แพทย์ต้องมีความสามารถในการฝังเข็ม ความสามารถทางเวชกรรม หรือการตรวจวินิจฉัยโรค และสามารถให้ยาได้ อีกทั้งต้องมีความสามารถในการนวดแผนจีน (ทุยหนา)
ทั้งนี้ นักศึกษาจะได้ฝึกงานในเทอม 2 ของทุกปีการศึกษา ได้เรียนรู้ถึงหน้าที่ของการเป็นแพทย์ในการซักถามประวัติคนไข้ การวินิจฉัยโรคต่างๆ ได้คลุกคลีกับการรักษาอย่างจริงจัง ตามหลักสูตรแล้วนักศึกษาจะเรียนที่เมืองไทย 4 ปี และไปฝึกงานที่สาธารณรัฐประชาชนจีนอีก 1 ปี
“หลังจากมีการสร้างหลักสูตรแพทย์จีนได้สำเร็จ ก็ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในจีน เช่น มหาวิทยาลัยเซียะเหมิน และอีกหลายแห่งที่ให้ความร่วมมือในการช่วยกันจัดรูปแบบกระบวนการเรียนการสอน เชื่อว่า ที่นี่จะเป็นที่ผลิตบุคลากรการแพทย์ด้านจีนที่มีคุณภาพในอนาคตและในปัจจุบันนี้ก็มีเด็กให้ความสนใจเข้าเรียนแขนงนี้เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากทัศนคติไม่ดีกับปัญหาที่แพทย์โดนฟ้องร้องซึ่งช่วงนี้เกิดขึ้นบ่อย ผู้คนจึงเริ่มหันมาให้ความสนใจทางนี้เยอะขึ้น เพราะแพทย์จีนเป็นการรักษาที่ปลอดภัย อีกทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่าย และที่สำคัญตลาดของแพทย์จีนที่จบใหม่กำลังเป็นที่ต้องการของสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนอีกด้วย” รศ.พรผจง ชี้ถึงความสำคัญ
** วินิจฉัยโรคด้วยศาสตร์ชั้นสูง
หากจะพูดถึงแนวทางการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนนั้น ศ.เฉา จิ้ว จวิน แพทย์ประจำคลินิกฯ ให้คำอธิบายผ่านล่ามว่า แพทย์ที่ทำการรักษาส่วนหนึ่งจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับศาสตราจารย์ จากสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยตรง เน้นการรักษาด้วยวิธีจีน เช่น ฝังเข็ม ใช้ยาสมุนไพรจีน ครอบแก้ว และที่สำคัญคือวิธีการนำความร้อนรักษาโรคหรือที่เรียกว่า “การทำมังกรไฟ” ซึ่งวิธีการนี้มีที่นี่ที่เดียว โดยการใช้ผ้าร้อนมาอบที่บริเวณปวดเช่นแผ่นหลัง ต้นขา และนำผ้าอีกผืนมาคลุมไว้ ทำการฉีดแอลกอฮอล์ลงบนผ้า แล้วทำการจุดไฟ จากนั้นก็นำผ้าอีกผืนมาคลุมเพื่อให้ความร้อนยังคงอยู่ในบริเวณที่ปวด จะเป็นการช่วยรักษาอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดขา และรักษาอาการต่อมลูกหมากโตได้
สำหรับโรคที่พบบ่อยในผู้ที่มาใช้บริการ คือ โรคปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก เช่น อาการปวดคอ ไหล่ แผ่นหลัง เอว และโรคที่มาจากภาวะความเครียด นอนไม่หลับ โดยการรักษาจะใช้การฝังเข็ม ซึ่งการรักษาขั้นแรกคือการดูจากภายนอก ซักถามอาการ สังเกตสีของลิ้น การแมะ (จับชีพจร) การดมกลิ่น กลิ่นปาก กลิ่นตัว เมื่อได้ข้อมูลจากการสังเกตเบื้องต้นก็นำมาวินิจฉัยโรค โดยอ้างอิงจากตำราแพทย์จีน การสังเกตจะบอกความผิดปกติของร่างกายได้เช่น หากแมะแล้วพบว่าลมปราณในตับพร่อง ไม่ได้หมายความว่าตับจะมีปัญหา แต่จะส่งผลต่ออวัยวะส่วนอื่น
“การฝังเข็มนั้น ใช้ในการรักษาอาการปวด ตั้งแต่กล้ามเนื้อต่างๆ หลัง เอว เรื่องของกระดูกทับเส้นประสาท อาการกระดูกผิดรูปร่าง ปวดตามข้อ จุดที่ฝังจะอิงตามทฤษฎีของเส้นลมปราณในร่างกายตามแผนตำรับของจีน ผู้ที่ทำการรักษาต้องมีความชำนาญสูง ซึ่งเส้นลมปราณนี้จะเป็นเหมือนรากแก้ว และจะแตกแขนงไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คนไข้ เป็นโรคอะไร ก็จะฝังไปตามจุดนั้น สำหรับการให้ยา ก็มียาสมุนไพรจีนที่ต้มเสร็จให้บริการ ต้องดูว่าตำรับไหนเหมาะกับคนไข้ประเภทไหน ด้านผลการรักษานั้นจะเห็นผลในทางที่ดีขึ้นกว่า 85% แต่ปัญหาที่พบคือคนไข้จะขาดการรักษาที่ต่อเนื่อง เพราะเมื่อคนไข้รู้สึกว่าตัวเองหายก็จะไม่มาพบแพทย์แต่ความจริงแล้วต้องมีการรักษาที่ต่อเนื่องจนกว่าอาการจะคงที่” ศ.เฉา อธิบาย
** ใช้ศาสตร์ธรรมชาติ ไร้ผลข้างเคียง
ส่วนความแตกต่างระหว่างการรักษากับแผนปัจจุบันนั้น ศ.เฉา จิ้ว จวิน แจกแจงให้ฟังว่า ที่เห็นได้ชัดคือการใช้ยา โดยยาแผนปัจจุบันกับยาจีนจะแตกต่างกัน เช่นเมื่อปวดเมื่อย ยาแผนปัจจุบันจะใช้ยาที่ระงับการปวด ซึ่งยาแก้ปวดนั้นจะทำให้อาการทุเลาลงเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็จะกลับมาปวดซ้ำ ส่วนยาแผนจีนจะเน้นธรรมชาติในการรักษา โดยจับลมปราณแล้วทำการแก้ไขให้ดีขึ้น ผลข้างเคียงน้อย
ขณะที่ ทางด้านการรักษา แผนจีนจะสะดวกรวดเร็วสำหรับโรคบางโรค ส่วนแผนปัจจุบันต้องนอนดูอาการ นอนพักฟื้น อีกทั้งในบางโรคแผนปัจจุบันอาจเลือกวิธีรักษาด้วยการผ่าตัด แต่กับแผนจีนนั้นไม่จำเป็น และความเสียหายของแผลจะเห็นน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
มาถึงตรงนี้ ศ.เฉา จิ้ว จวิน ฝากทิ้งท้ายว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจในการรักษาศาสตร์แพทย์แผนจีนมากนัก แต่หากมีการเปิดกว้างด้านข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา ผู้คนรับรู้ถึงผลการรักษา อนาคตอันใกล้นี้แพทย์แผนจีนน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลคุณภาพชีวิตของคนไทย และสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ หรือต้องการจะตรวจสุขภาพอยากให้ลองเข้ามาใช้บริการได้ที่คลินิกการแพทย์แผนจีน มรภ.จันทรเกษม ซึ่ง เปิดบริการทุกวันในเวลาราชการ และวันเสาร์เปิดครึ่งวันเช้า หรือสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2513-7839, 0-2942-6999 ต่อ 5157, 5179
** เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมได้จัดโครงการ “สร้างอาคารวิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก เฉลิมพระเกียรติ” เพื่อให้บริการทางการแพทย์แผนจีนที่ทันสมัย จัดตั้งเป็นศูนย์การรักษาโรคที่มีมาตรฐานระดับภูมิภาค ขนาด 200 เตียง ใช้เป็นสถานที่ทำการเรียนการสอนแก่นักศึกษา และเป็นแหล่งข้อมูลในการทำวิจัยด้านแพทย์ทางเลือก สำหรับผู้ที่สนใจจะร่วมบริจาคเงินจัดสร้างอาคาร ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานผู้อำนวยการวิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก มรภ.จันทรเกษม โทร.0-2513-7839 หรือที่ http:// amc.chandra.ac.th