เลขาธิการกลุ่มแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย เผย ไม่ยืนยันว่ามีคณะแพทยศาสตร์สถาบันไหนออกกฎไม่รับเพศที่ 3 เข้าเรียน ชี้อาจเป็นสถาบันแพทย์ของทหารที่กำหนดเรื่องดังกล่าว เพราะต้องการบุคคลลักษณะเฉพาะ ระบุที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหลายแห่งรับเพศที่สามเข้าเรียน และจบออกมาทำงานได้ดี เชื่อความสามารถไม่ใช่ปัญหา
นพ.อาวุธ ศรีศุกรี เลขาธิการกลุ่มแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) กล่าวถึงการออกประกาศห้ามบุคคลเพศที่ 3 เข้าศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ว่า เกณฑ์การรับนักศึกษาแพทย์ในส่วนกลางจะไม่มีข้อกำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ แต่การกำหนดคุณสมบัตินักศึกษาเป็นเอกสิทธิ์ของคณะแพทย์ศาสตร์แต่ละแห่งจะกำหนดรายละเอียดต่างๆ ได้ แต่ที่ผ่านมาตนยังไม่เคยเห็นการประกาศออกมาอย่างชัดเจน จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่ากติกาลักษณะดังกล่าวมีอยู่จริง อย่างไรก็ตาม การกำหนดคุณสมบัติเรื่องเพศที่สามอาจจะมีในคณะแพทยศาสตร์ที่เป็นสถาบันการศึกษาของทหาร ซึ่งต้องการบุคคลที่มีลักษณะเฉพาะ และกระบวนการสอบ หรือสอบสัมภาษณ์ก็จะแตกต่างจากสถาบันแพทย์โดยทั่วไป
“การห้ามไม่ให้เพศที่ 3 เข้าศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์นั้น ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องของค่านิยมทางสังคมที่อาจจะยังไม่ยอมรับกลุ่มคนกลุ่มนี้ แต่โดยส่วนตัวผมเชื่อว่ากลุ่มเพศที่สามก็มีความสามารถที่จะศึกษาหรือทำหน้าที่แพทย์ได้ ที่ผ่านมาคณะแพทยศาสตร์หลายแห่ง รับนักศึกษากลุ่มนี้เข้าเรียน และจบออกมาเป็นแพทย์แล้วก็มี ซึ่งพวกเขาก็สามารถทำงานได้ดี แต่ส่วนใหญ่กลุ่มเพศที่สามจะเลือกเรียนแพทย์ในสาขาที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับคนมากนัก และเป็นสาขาที่เหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งการที่คนไม่ยอมรับให้เข้าศึกษาคงไม่ใช่ประเด็นเรื่องความสามารถ แต่น่าจะเป็นการยอมรับจากสังคมมากกว่า”
นพ.อาวุธ ศรีศุกรี เลขาธิการกลุ่มแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) กล่าวถึงการออกประกาศห้ามบุคคลเพศที่ 3 เข้าศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ว่า เกณฑ์การรับนักศึกษาแพทย์ในส่วนกลางจะไม่มีข้อกำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ แต่การกำหนดคุณสมบัตินักศึกษาเป็นเอกสิทธิ์ของคณะแพทย์ศาสตร์แต่ละแห่งจะกำหนดรายละเอียดต่างๆ ได้ แต่ที่ผ่านมาตนยังไม่เคยเห็นการประกาศออกมาอย่างชัดเจน จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่ากติกาลักษณะดังกล่าวมีอยู่จริง อย่างไรก็ตาม การกำหนดคุณสมบัติเรื่องเพศที่สามอาจจะมีในคณะแพทยศาสตร์ที่เป็นสถาบันการศึกษาของทหาร ซึ่งต้องการบุคคลที่มีลักษณะเฉพาะ และกระบวนการสอบ หรือสอบสัมภาษณ์ก็จะแตกต่างจากสถาบันแพทย์โดยทั่วไป
“การห้ามไม่ให้เพศที่ 3 เข้าศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์นั้น ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องของค่านิยมทางสังคมที่อาจจะยังไม่ยอมรับกลุ่มคนกลุ่มนี้ แต่โดยส่วนตัวผมเชื่อว่ากลุ่มเพศที่สามก็มีความสามารถที่จะศึกษาหรือทำหน้าที่แพทย์ได้ ที่ผ่านมาคณะแพทยศาสตร์หลายแห่ง รับนักศึกษากลุ่มนี้เข้าเรียน และจบออกมาเป็นแพทย์แล้วก็มี ซึ่งพวกเขาก็สามารถทำงานได้ดี แต่ส่วนใหญ่กลุ่มเพศที่สามจะเลือกเรียนแพทย์ในสาขาที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับคนมากนัก และเป็นสาขาที่เหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งการที่คนไม่ยอมรับให้เข้าศึกษาคงไม่ใช่ประเด็นเรื่องความสามารถ แต่น่าจะเป็นการยอมรับจากสังคมมากกว่า”
