“โหรบุญเลิศ” เชื่อมือมืดทำลายเขาพนมรุ้งเป็นจุดเริ่มต้นความรุนแรงในพื้นที่ภาคอีสาน ระบุอาจถูกภัยธรรมชาติร้ายแรง ให้เตรียมรับมือโดยไม่ประมาท ด้าน “อ.พิเศษ เจียรจันทร์พงษ์” ชี้ชัดเป็นเรื่องความเชื่อ จวกปัญญาอ่อนมากกับการทุบทำลายวัตถุอันทรงคุณค่า ขณะที่ “เทพมนตรี” เผยสิ่งที่ทุบเป็นของใหม่ไม่น่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พอที่จะนำไปทำมวลสาร ระบุก่อนหน้านี้ “เนวิน” เคยมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้ “ทักษิณ” ที่นี่มาแล้ว
จากที่มีกลุ่มคนใจบาปบุกปราสาทหิน “พนมรุ้ง” จ.บุรีรัมย์ กลางดึกประกอบพิธีกรรม ก่อนใช้ของแข็งทุบข้อมือทวารบาล ทั้ง 2 ข้าง แล้วนำไปทุบทำลายหน้าสิงห์ 2 ตัว เศียรพญานาค 11 เศียร และทำลายปากโคนนทิ ซึ่งล้วนเป็นเทพบริวารปกปักรักษาปราสาท พร้อมย้ายศิวลึงค์ไปทิ้งบริเวณรางสรงบ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ คล้ายการประกอบพีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น
ดร.บุญเลิศ ไพรินทร์ ส.ว.ฉะเชิงเทรา และนักโหราศาสตร์ กล่าวถึงกรณีที่ปราสาทหินพนมรุ้งถูกทุบทำลายว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่เชื่อหลักไสยศาสตร์จึงไม่ขอออกความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวในหลักความเชื่อ แต่เมื่อมองในมุมของโหราศาสตร์ถือว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สืบเนื่องจากในทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีดาวมฤตยูอันเป็นดาวบาปเคราะห์ ซึ่งเป็นดาวให้โทษประจำอยู่ ประกอบกับทำมุม 90 องศากับดาวมฤตยูจรราศีเมษดวงเมืองของกรุงเทพฯ ผลจากการโคจรของดวงดาว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย และจะเกิดปัญหาที่รุนแรงขึ้นต่อเนื่องไปจนกระทั่งถึงปี 2552
“ดาวมฤตยูนี้เป็นดาวให้โทษที่จะทำให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว ลมพัดกระหน่ำ หรือผลกระทบด้านผลผลิตการเกษตรซึ่งจะมีลักษณะคงจะไม่ต่างจากพม่า หรือจีนเท่าใดนัก เพราะเมื่อดูดวงดาวแล้วก็พบว่าดาวมฤตยูเล็งไปที่ราศีสิงห์ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งพม่าอยู่ในแกนนั้นของโลกพอดี”นักโหราศาสตร์กล่าว
ทั้งนี้ เหตุการณ์ทุบทำลายปราสาทหินพนมรุ้งได้สร้างความกระทบกระเทือนจิตใจให้แก่คนในพื้นที่และผู้ศรัทธาเป็นอย่างมาก และไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นต่อไปอีกหรือไม่ก็ตาม ดร.บุญเลิศ ให้คำแนะนำว่า ภัยธรรมชาติเป็นภัยที่ยากจะป้องกัน แต่หากตั้งอยู่ในความไม่ประมาทตามหลักคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ระดับความรุนแรงก็จะไม่มาก โดยจะต้องใช้สติในการแก้ปัญหา
“กรณีของเขาพนมรุ้งก็เกิดจากความประมาท ถ้าหากผู้ดูแลไม่ประมาท ก็จะไม่มีคนมาทำลายได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ต้องไม่ประมาท เพราะการโคจรของดวงดาวเราห้ามไม่ได้ ต้องปล่อยมันไป” ดร.บุญเลิศกล่าว
ด้านนักโบราณคดีอย่าง อ.พิเศษ เจียรจันทร์พงษ์ ให้ความเห็นว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกับความขัดแย้ง แต่น่าจะเกิดจากประเด็นความเชื่อรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมากกว่า
“ในอดีตมันก็เคยมี ช่วงก่อนสองขั้นก็อาจจะมีการกลั่นแกล้งกันเพื่อผลประโยชน์ด้านการทำงาน แต่มันก็มักจะเกิดกันในช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งก็ยังไม่ถึง ดังนั้น ผมไม่คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะมาจากประเด็นความขัดแย้ง ซึ่งถ้าหากจะให้ผมมอง ผมคงมองในประเด็นความเชื่อ ทุกวันนี้บ้านเรามันขาดหลัดยึด ทำให้มีความเชื่อเกิดขึ้นมากมาย”
อ.พิเศษ ปฏิเสธที่จะฟันธงว่ากรณีการทุบศิวลึงค์ ทวารบาล และวัตถุโบราณอื่นๆ ในปราสาทหินพนมรุ้งที่เกิดขึ้นนี้ว่าเป็นความเชื่อประเด็นไหนอย่างแน่ชัด
“คิดว่าค่อนข้างจะเกิดจากประเด็นความเชื่อ แต่ที่ว่าจะเกิดจากเพราะก่อนหน้านี้เป็นสถานที่ที่เขาเคยใช้ประชุม ครม.สัญจรยุคนายกฯ ทักษิณหรือไม่นั้น ก็เป็นกระแสที่พูดกันไป ที่แน่ๆ คือโบราณสถานนี่เป็นสมบัติของชาติ เป็นของโบราณเก่าแก่ที่ทรงคุณค่า ซึ่งน่าเสียดายมากที่ถูกกระทำแบบนี้ เพียงเพราะความเชื่อ ซึ่งพูดได้ว่า เป็นบริบทที่ปัญญาอ่อนมากกับการทุบทำลายวัตถุอันทรงคุณค่า ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และศักดิ์ศรี เพียงเพราะความเชื่อ” อ.พิเศษกล่าว
ด้านนักประวัติศาสตร์ อย่าง “เทพมนตรี ลิมปพยอม” มองว่าสิ่งที่ถูกทำลายลงไปไม่น่าจะศักดิ์สิทธิ์พอจะนำมวลสารที่ทุบไปทำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากสิ่งที่ถูกทุบอย่างศิวลึงค์นั้นเป็นของใหม่ที่อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์เป็นคนเอาไปวางไว้ไม่นานมานี้
“โคนนทินั่นก็ใหม่ ส่วนอย่างอื่นๆ เช่น สิงห์ นาค ก็ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ เขาก็เป็นทวารบาลประจำเทวาลัย เพียงแต่เขาไม่ศักดิ์สิทธิ์พอที่จะนำไปทำมวลสาร ถ้าจะเอาไปทำมวลสารส่วนใหญ่จะเอาจากผงพระในกรุเก่า”
“ก่อนหน้านี้เคยมีการอนุญาตให้นายเนวิน ชิดชอบ และพราหมณ์อินเดียมาทำพิธีกรรมในปราสาทหินพนมรุ้ง เพื่อสะเดาะเคราะห์ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมคิดว่าควรจะเลิกอนุญาตให้ทุกคนไม่ว่าใครหรือใหญ่แค่ไหนน่าจะดีที่สุด” อ.เทพมนตรี ให้ความเห็น