xs
xsm
sm
md
lg

เด็กเกิดใหม่เป็น “ธาลัสซีเมีย” เพิ่มชั่วโมงละเกือบ 2 คน เตือนคนไทยมียีนแฝง 25 ล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สธ.เผยเด็กเกิดใหม่เป็นโรคธาลัสซีเมียเพิ่มชั่วโมงละเกือบ 2 คน ปีละ 13,000 คน แถมมียีนโรคธาลัสซีเมียแฝง พร้อมถ่ายทอดให้ลูกมากกึง 25 ล้านคน มีผู้ป่วย 630,000 คน เร่งทำแผนชาติ 5 ปี แก้ปัญหาโรคธาลัสซีเมีย แนะคู่สมรสที่วางแผนมีลูก ควรตรวจเลือดก่อน

นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันที่ 8 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันธาลัสซีเมียโลก ซึ่งโรคธาลัสซีเมียเป็นโรคเลือดจางเรื้อรังทางพันธุกรรม พบได้ทั่วโลก แต่พบมากในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นกว่าปกติ ในไทยมีผู้เป็นโรคนี้ 2 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ป่วยเป็นโรคแล้ว คือมีปัญหาซีด เลือดจางเรื้อรังประมาณ 630,000 ราย หรือประมาณร้อยละ 1 ของประชากร และกลุ่มที่มียีนธาลัสซีเมียแอบแฝง เรียกว่าเป็นพาหะโรค คือไม่มีอาการป่วย ร่างกายปกติ สุขภาพแข็งแรง แต่สามารถถ่ายทอดความผิดปกติไปสู่ลูกได้ ซึ่งขณะนี้ทั่วประเทศมีผู้ที่เป็นพาหะโรคนี้มากถึงร้อยละ 40 ของประชากร หรือประมาณ 25 ล้านคน ถือว่าสูงมากและเป็นอันดับหนึ่งของโลก หากไม่มีการควบคุมจำนวนคนที่เป็นพาหะก็จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้เด็กเกิดใหม่เสี่ยงเป็นโรคธาลัสซีเมีย เติบโตช้ากว่าปกติ ร่างกายอ่อนแอ ป่วยบ่อย

สำหรับในประเทศไทย ขณะนี้มีผู้เป็นโรคธาลัสซีเมียประมาณร้อยละ 1 หรือประมาณ 630,000 คน ต้องรักษาตลอดชีวิต ในแต่ละปีมีเด็กเกิดใหม่เป็นโรคธาลัสซีเมียเพิ่มขึ้น 13,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 2 คน รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ประมาณปีละ 5,000-6,000 ล้านบาท

นายไชยา กล่าวต่อว่า ในการป้องกันปัญหา กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำแผนงานธาลัสซีเมียแห่งชาติ 5 ปี ระหว่าง พ.ศ.2550-2554 เพื่อลดจำนวนเด็กไทยเกิดใหม่ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง และให้การดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยให้โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนทุกแห่ง จัดระบบบริการป้องกัน ควบคุม และรักษาพยาบาลโรคธาลัสซีเมียที่ได้มาตรฐาน ให้บริการตรวจคัดกรองค้นหาคู่สมรสเสี่ยงมีลูกเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง โดยให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์อนามัยทุกแห่ง ตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการได้ครบทุกขั้นตอนและมีมาตรฐาน ทำหน้าที่เป็นศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคธาลัสซีเมียของภูมิภาค และให้กรมอนามัยพัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุขทุกระดับ รวมทั้งครูอนามัยเพื่อสอนโรค “ธาลัสซีเมีย” ให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ส่วนเครือข่ายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจะพัฒนาการวิจัยทางการแพทย์ด้านธาลัส ซีเมีย เพื่อการควบคุม ป้องกันและรักษาโรค คาดว่าภายในเวลา 5 ปี จะสามารถลดผู้ป่วยรายใหม่ชนิดรุนแรงลงร้อยละ 50 หรือลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ได้ไม่น้อยกว่า 6,500 ราย ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ไม่น้อยกว่า 32,197 ล้านบาท

ด้านนพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ผู้ที่มียีนธาลัสซีเมียเป็นพาหะ (carrier/trait) ซึ่งมีประมาณ 25 ล้านคน หากแต่งงานกันจะมีโอกาสได้ลูกเป็นโรคร้อยละ 25 และลูกมีโอกาสเป็นพาหะต่อร้อยละ 50 หากฝ่ายหนึ่งเป็นโรคและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะ โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคและเป็นพาหะมีเท่าๆ กัน ในการป้องกันโรคนี้ ประชาชนสามารถหาความผิดปกติได้ ผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยธาลัสซีเมีย ได้แก่ ผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ คือ อายุ 15-59 ปี ทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะผู้ที่กำลังจะแต่งงาน หรือกำลังวางแผนจะมีลูก และผู้ที่มีญาติในครอบครัวเป็นพาหะหรือผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย โดยเข้ารับบริการปรึกษาและตรวจได้ที่โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพหรือโรงพยาบาลแม่และเด็กเดิมทั่วประเทศ

นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ โรคธาลัสซีเมียที่พบบ่อยในประเทศไทยมี 4 ชนิด ชนิดที่ 1 อาการรุนแรงที่สุด เรียกว่า ฮีโมโกลบินบาร์ท ไฮดรอพส์ ฟิทัลลิส (Hemoglobin Bart’s Hydrops Fetalis) เด็กจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต ส่วนแม่จะมีปัญหาแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ ได้แก่ ครรภ์เป็นพิษ คลอดผิดปกติ และตกเลือดหลังคลอด ชนิดที่ 2 อาการรุนแรง เรียกว่า โฮโมชัยกัส เบตา ธาลัสซีเมีย (Homozygous Beta-thalassemia) เด็กกลุ่มนี้แรกเกิดจะปกติ แต่จะเริ่มมีอาการซีดจนต้องได้รับเลือดภายใน 2 ขวบแรก ตัวเหลือง ท้องป่อง ตับม้ามโต จมูกแบน โหนกแก้มสูง คาง และขากรรไกรกว้าง ฟันบนยื่น กระดูกเปราะ หักง่าย ตัวเล็กและป่วยบ่อย เนื่องจากเลือดจางเรื้อรัง แต่ละปีมีเด็กเกิดใหม่เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดนี้ประมาณ 5,000 คน ชนิดที่ 3 มีอาการรุนแรงปานกลาง เรียกว่า เบต้าธาลัสซีเมีย/ฮีโมโกลบิน อี (Beta-thalassemia/hemoglobin E) และชนิดที่ 4 มีอาการรุนแรงน้อย เรียกว่า ฮีโมโกลบินเอช (hemoglobin H) ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอาการซีดเล็กน้อย บางครั้งมีอาการตัวเหลืองร่วมด้วย มักไม่จำเป็นต้องเข้ารับการดูแลรักษาเป็นพิเศษ ยกเว้นเมื่อมีไข้และเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อจะซีดมากทันที

“ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ ควรดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่สะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ และนม ตลอดจนผักสดซึ่งมีโฟลิคสูง เช่น ผักบุ้ง ฟักทอง จะช่วยในการสร้างเม็ดเลือด หลีกเลี่ยงการทำงานหรือเล่นกีฬารุนแรง งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา และพบแพทย์สม่ำเสมอเพื่อเติมเลือดให้หายซีด ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมกำลังผลิตยาขับเหล็กที่มีราคาถูกมาก ใช้ลดภาวะแทรกซ้อนของโรค และทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น” นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น