xs
xsm
sm
md
lg

“ตกขาว” ภัยเงียบของผู้หญิง/นพ.กฤษดา ศิรามพุช

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เรื่อง...นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ)
ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์
(American Board of Anti-aging medicine)
drkrisda@gmail.com


หากมีการจัดลำดับเรื่องท๊อปฮิตที่รบกวนสุขภาพกายที่ผู้หญิงแต่ละวัยต้องประสบก็เห็นจะแจงได้เป็น

วัยเด็กและวัยรุ่น ได้แก่เรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติและตกขาว
วัยกลางคน ได้แก่เรื่อง ตกขาวและเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ
วัยผู้ใหญ่ตอนปลาย (ไม่อยากใช้คำว่าวัยทองเพราะดูแก่ไปหน่อย) ได้แก่เรื่องกลับมามีเลือดออกจากมดลูกอีกและตกขาว

จะเห็นว่าไม่ว่าจะวัยใดก็ตามถ้าเกิดมาเป็นผู้หญิงก็มักไม่แคล้วมีเรื่องตกขาวหรือ “มุตกิต”เข้ามาวุ่นวายด้วยเสมอ บางคนมีทั้งตกขาวและทั้งเลือดออกเป็นลิ่มไปพร้อมกันก็มี ซึ่งเมื่อมาตรวจแล้วก็แทบลมจับเพราะพบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก หรือบางท่านก็เป็นแค่ปรากฏการณ์ของ “เลือดจะไปลมจะมา” เท่านั้นเอง จะเห็นได้ว่าเรื่องของตกขาวนี้สามารถบอกอะไรได้มากทีเดียวถ้าเราช่างสังเกต พอๆกับศาสตร์การทำนายด้วยการสังเกตใบชาเลยครับ แต่ผิดกันที่ว่ากรณีตกขาวนี้ท่านสามารถเริ่มสังเกตได้ด้วยตัวเองก่อนที่จะพบหมอเสียอีก ดังนั้นเพื่อให้ไม่น้อยหน้ากว่าหมอดูใบชา ก็จะขอเล่าวิธีทำนายโรคจากตกขาวแบบฟังสบายๆ ให้คุณผู้อ่านได้ทราบกันครับ
รูปที่ 1 โรคมรณะอย่างมะเร็งปากมดลูกอาจนำมาด้วยอาการเพียง “ตกขาว” หรือมีเลือดออกกะปริดกะปรอยเท่านั้น
รูปที่ 2 ก้อนเนื้อมะเร็งปากมดลูกของจริงที่ถูกตัดออกมาพร้อมปากมดลูก
แน่ใจหรือว่าเป็นตกขาวปกติ?
ที่ผมเรียกตกขาวว่าเป็น “ภัยเงียบ” ก็จากสาเหตุที่จะกล่าวต่อไปนี้ โดยจากประสบการณ์ที่ผมตรวจคนไข้มานั้นจะสังเกตว่าถ้าเป็นคนไข้สาวๆที่มีตกขาวมักจะรอนานจนเป็นหนักจึงมาตรวจ เพราะในสมองจะคิดหาข้ออ้างไว้ประการหนึ่งคือ

“คงเป็นตกขาวปกติ ไม่มีอะไรหรอก”
ที่กล่าวว่าเป็นการอ้างก็เพราะเป็นธรรมดาของหญิงไทยที่มักจะขี้อาย เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้บ้าง ไม่เหมือนบ้าง แต่ก็มักจะอายกันเป็นส่วนใหญ่ ผิดกับเด็กหญิงอเมริกันที่เริ่มตรวจภายในกันตั้งแต่วัยทีนเอจ แต่ก็เป็นข้อดีไม่น้อยเพราะทำให้อัตราการตายจากโรคมะเร็งปากมดลูกไม่สูงเท่าในคนไทยเรา เพราะเมื่อตรวจภายในได้ส่องเข้าไปดูถึงปากมดลูก ถ้าเห็นติ่งเห็นก้อนอะไรผิดปกติก็สามารถตัดและแก้ได้ทันตั้งแต่เนิ่นๆ มะเร็งยังไม่ทันลามไปต่อมน้ำเหลืองก็สกัดได้ทันก่อน พอมาเห็นคุณย่าคุณยายบ้านเราที่กว่าจะตรวจพบมะเร็งก็ “สายเสียแล้ว” ถึงรู้สึกเสียใจและเสียดายมากๆทีเดียวครับ

สิทธิการิยะ ท่านว่าลักษณาการของตกขาวปกตินั้นประกอบด้วย เมือกสีขาวนวลคล้ายแป้งเปียก โดยมากมักไม่มีกลิ่นหรือในบางคนอาจมีอมเปรี้ยวได้บ้างเล็กน้อย(หมายถึงกลิ่นนะครับ ส่วนรสเปรี้ยวคงไม่มีใครไปชิมให้)ด้วยฤทธิ์ของแบคทีเรียสร้างกรดตัวหนึ่งชื่อ “แลกโตบาซิลลัส” ที่สร้างกรดแลกติกออกมา ตกขาวปกตินี้เรียกอีกอย่างว่าตกขาวตามธรรมชาติมีไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้ามารอนราญช่องช่องคลอด มักจะมีออกมามากในสี่ช่วงเวลาชีวิตสาวๆ ดังนี้

1) ก่อนมีประจำเดือน
2) หลังมีประจำเดือน
3) ช่วงไข่ตก
4) ระหว่างตั้งครรภ์

แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับพื้นเพเดิมด้วยว่าเราเคยมีตกขาวเยอะเพียงใด ถ้าเคยมีเพียงน้อยนิดแล้วจู่ๆก็มีมากขึ้นจน “ติดกางเกงใน” อย่างนี้แม้จะดูเหมือนเป็นตกขาวธรรมชาติก็ต้องเอะใจสักหน่อยแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นต้นว่า “ท้องหรือเปล่า?” หรือถ้าเป็นแป้งเปียกมากเสียจนเหมือนลิ่มนมที่เด็กอาเจียนออกมา นั่นคือติดเชื้อรากลุ่มยีสต์หรือแคนดิดาแล้วครับ เพราะเชื้อรากลุ่ม “น้องดา” นี้ก็มักจะชอบที่อับๆ ชื้นๆ เช่นในช่องคลอด ยิ่งใครชอบใส่ชุดว่ายน้ำรัดๆไปว่ายน้ำ หรือใส่ผ้าอนามัยอับสักหน่อยล่ะก็เหล่าน้องดาจะเจริญงอกงามอลังการทีเดียวแต่ไม่ถึงงอกเป็นเห็ดหรอกครับ แค่สร้างสปอร์เพื่อขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มเท่านั้นแหละครับ โดยวิธีป้องกันตกขาวปกติไม่ให้กลายไปเป็นติดเชื้อน้องดาหรือแคนดิดานี้ก็มีเคล็ดวิธีง่ายๆ ที่ผม(ให้ผู้ป่วย)ใช้แล้วได้ผลดี คือ

1) ถ้ามีตกขาวพยายามอย่า สวนล้างบ่อย หรือใช้น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้นบ่อยจนเกินไป สาวๆหลายท่านมักบอกว่าที่ต้องใช้บ่อยเพราะ “ไม่มั่นใจ” แต่ขอให้มั่นใจเถิดครับว่าการมีตกขาวนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้ามันสะอาดมากเกินไปเสียก็เท่ากับว่ากรุยทางให้เชื้อร้ายบุกเข้าสู่ภายในมดลูกได้ง่ายขึ้น

2) อย่าฉีดล้างภายในช่องคลอด บางคนสูญเสียความมั่นใจขนาดหนักเมื่อมีตกขาว ล้างด้วยน้ำยายังไม่พอ ขอฉีดซู่ซ่าเข้าไปข้างในให้สะอาดสะใจ เรียกว่าถ้าล้วงมดลูกออกมาล้างได้ก็คงทำไปแล้ว ขอเถิดครับอย่าทำเลย ค่อยๆ ใช้น้ำสะอาดนี่แหละครับล้างเบาๆ ก็พอ เพราะยิ่งคุณฉีดน้ำจากหัวฉีดหรืออะไรก็แล้วแต่เข้าไปจะยิ่งดันให้เชื้อจากในช่องคลอดวกกลับเข้าไปข้างใน และท่อปัสสาวะซึ่งอยู่เหนือช่องคลอดก็จะพลอยได้รับเชื้อไปด้วย สังเกตง่ายๆ เลยว่าเวลาช่องคลอดอักเสบมักพาให้เกิดท่อปัสสาวะอักเสบ ฉี่บ่อยๆ ฉี่ขัดๆ ไปด้วย ก็ด้วยเหตุที่กล่าวไปฉะนี้แล

3) อย่าใช้กางเกงในอับๆหรือชื้นๆ ฟังดีๆนะครับนี่คือเคล็ดวิชาสุดยอดเลย ให้เอากางเกงในตากแดด ห้ามตากพัดลมจนแห้งนะครับ ด้วยเหตุที่ว่าแสงยูวีจากแดดจะช่วยทำลายสปอร์เชื้อราได้ดีกว่ามาก


รูปที่ 3 ตกขาวแบบ “เชื้อรา” จะมีลักษณะเป็นก้อนแบบลิ่มนมในปากเด็ก
รูปที่ 4 เมื่อนำก้อนรามาย้อมแล้วส่องกล้องจุลทรรศน์จะพบเชื้อราเป็นสายพร้อมกับสปอร์ที่กำลังแบ่งตัว
ตกขาวหนอง!

ตกขาวในกรณีนี้จะไม่ค่อยขาวสนิทสวยงามเสียทีเดียวมักเป็นตกขาวปนเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่น “อับ” แบบพิเศษที่ถ้าใครเคยได้กลิ่นสักครั้งจะจำได้ดี เพราะกลิ่นอันไม่โสภานี้เกิดจากการ “หมัก” ของแบคทีเรียบางชนิดในช่องคลอด และในบางคราวมีเชื้อปรสิตจำพวกพยาธิปนอยู่ด้วยซึ่งจะทำให้ตกขาวเป็นฟองและคันยุบยิบ ถ้าสรุปเป็นข้อง่ายๆก็คือ

1) ถ้าตกขาวปนเขียวหรือปนเหลือง มีกลิ่นอับ มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อหนองในแท้ หนองในเทียมหรือคลามัยเดีย(Chlamydia) ก็จัดเป็นผู้ร้ายในกลุ่มนี้ด้วย

2) ถ้าตกขาวเป็นน้ำไหลโจ๊กหรือเป็นฟอง มักเกิดจากเชื้อปรสิตพยาธิ พวกทริโคโมแนส หรือเรียกสั้นๆว่า “ทีวี(TV)” ซึ่งคนละเรื่องกับโทรทัศน์

รูปที่ 5 เชื้อแบคทีเรียนานาพันธ์ที่อยู่ในช่องคลอดราวกับสวนสัตว์นี้ ทำให้เกิดภาวะช่องคลอดติดเชื้อได้

รูปที่ 6 เชื้อพยาธิทริโคโมแนสในช่องคลอดทำให้เกิดตกขาวผิดปกติแบบเป็นฟองและคัน
รูปที่ 7 ตกขาวสีเหลืองหรือเขียวร่วมกับมีกลิ่นผิดปกติเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อภายใน
ตกขาวที่ผิดปกตินี้มักร่วมกับอาการเจ็บป่วยของอวัยวะใกล้เคียงด้วยได้แก่ มีแผลริมอ่อน,บริเวณปากช่องคลอด, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, อุ้งเชิงกรานอักเสบ และถ้าในรายที่เป็นรุนแรงจะลามไปถึงปีกมดลูกทั้งสองข้างกลายเป็นกระเปาะหนองหรือฝีป่องอยู่ข้างในเรียกย่อๆว่า “ทีโอเอ(TOA,Tuboovarian abscess)” ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับชื่อสีทาบ้านใครทั้งสิ้น

ถ้าท่านใดสงสัยว่าจะเป็นนะครับให้ลองสังเกตดูบางทีจะมีตัวรุมๆหรือเหมือนมีไข้ต่ำๆร่วมด้วย เพราะว่ามันคือการติดเชื้อน่ะครับ ลองนึกดูว่าขนาดเรามีฝีข้างนอกยังจับไข้เลย แล้วนี่ดันมีฝีทั้งก้อนอาศัยอยู่ในเรือนกายมันย่อมทำให้ “ร้อนใน” รู้สึกไม่สบายเนื้อตัวแน่ๆ เวลาที่เจอคนไข้ที่สงสัยว่าจะเป็นเช่นนี้ผมมักจับทำอัลตร้าซาวน์ดูทุกคน เพราะเป็นวิธีง่ายๆ ที่แค่จรดหัวอัลตร้าซาวน์ลงไปคุณก็อาจจ๊ะเอ๋กับก้อนฝีนานาพันธุ์แล้วครับ เท่าที่เคยเจอมามีตั้งแต่ขนาดเท่าลูกบอลย่อมๆ ไปจนถึงเกาะกันเป็นพวงหนองคล้ายพวงองุ่น เห็นแล้วน่ากิน เอ้ย น่าขนลุกใช่เล่น
รูปที่ 8 ก้อนฝีอักเสบรุนแรงที่ปีกมดลูกมีลักษณะเป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่น
ดูแล “กันและกัน” ให้ดีจะไม่มีภัยเงียบจากตกขาว
ที่ไม่บอกให้ดูแลแต่ “ตัวเอง” นั่นก็เพราะส่วนใหญ่ตกขาวในสตรีวัยเจริญพันธุ์นั้นมักเกิดจากเพศสัมพันธ์ ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นโรคน่ารังเกียจ เกิดจากคู่นอนสำส่อนอะไรเทือกนั้น แต่ขอให้ใจเย็นๆครับ ฟังทางนี้ก่อน อย่าเพิ่งด่วนไปทะเลาะชวนตีให้ชุลมุนกัน เพราะการเกิดตกขาวใช่ว่าจะเกิดจากฝ่ายชายนอกใจไปมีอะไรกับกิ๊กเสมอไป ในหลายคราวที่เพศสัมพันธ์ไม่สะอาดหรือรุนแรงก็อาจทำให้เกิดรอยแผลฉีกขาดเล็กๆ ในช่องคลอดซึ่งเราไม่ทราบ

แล้วเมื่อประกอบกับพฤติกรรมทำร้ายช่องคลอดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จำพวก ใช้น้ำยาล้างภายในอย่างดุเดือด แถมด้วยฉีดน้ำเข้าไปชำระแบบถึงลูกถึงคนอีก ก็ยิ่งทำให้เชื้อลามเข้าไปติดข้างในง่ายขึ้น หรือบางท่านไปเที่ยวทะเล ใส่ชุดว่ายน้ำลงเล่นน้ำจนเพลินเดินขึ้นมากินส้มตำจนชุดแห้งแล้วก็ลงไปเล่นอีก อย่างนี้ก็จะนำไปสู่การได้เชื้อราแถมตอนกลับบ้านด้วยเช่นกัน
รูปที่ 9 การสอดอุปกรณ์เข้าไปสวนล้างช่องคลอดบ่อยๆเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดตกขาวเรื้อรังและนำเชื้อเข้าสู่มดลูก
นอกจากนั้นคำถามยอดฮิตที่คนไข้ชอบถามอีกอย่างคือ ตกขาวแล้วกินอะไรไม่ได้บ้าง ถ้าให้ผมแนะก็คือไม่อยากให้กินของหมักของดองและพวกอาหารทะเลครับ ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน แต่จากการสังเกตก็พบว่าบางท่านพอทานไปแล้วยิ่งตกขาวหนักขึ้นได้ อาจเนื่องมาจากสารกลุ่มไนโตรซามีน(Nitrosamine) ที่มีมากในโปรตีนเนื้อสัตว์ ซึ่งสารตัวนี้ถือเป็นสารก่อมะเร็งที่สำคัญตัวหนึ่งที่จะฟอร์มตัวได้ดีถ้าอยู่ในภาวะที่เป็นกรดเช่นในกระเพาะอาหารมนุษย์

แต่อย่าลืมว่าช่องคลอดคนเราก็เป็นกรดเหมือนกันนะครับจากแบคทีเรียแลคโตแบซิลลัสที่ผมได้กล่าวไป บางทีถ้าร่างกายได้รับโปรตีนมากๆมันก็กลายสภาพเป็นกรดอะมิโนเข้ากระแสเลือดไปตามที่ต่างๆได้เหมือนกัน ดังนั้นก็ขอฝากหัวใจสำคัญเรื่องตกขาวทิ้งท้ายไว้ว่า

1) ถ้ามีตกขาวก็อย่าลืมสังเกตว่ามันเป็นตกขาวธรรมชาติหรือไม่
2) ถ้าไม่ใช่ก็ให้รีบจรลีไปพบแพทย์ก็อย่าลืมพาคู่รักไปตรวจด้วยนะครับ เพราะเขาก็อาจมีเชื้อได้เหมือนกัน (หรือเขาเองนั่นแหละเอาเชื้อมาให้เรา)
3) อย่าทนรอให้เป็นตกขาวนานๆแล้วค่อยเยื้องกรายมาตรวจนะครับ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณมรณะของเชื้อไวรัสเอชพีวีที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกก็เป็นได้


เห็นไหมครับ ง่ายๆเพียงเท่านี้ ลองเป็นหมอให้ตัวคุณเองดูก่อนจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังเพราะเจอพิษร้ายจาก “ภัยเงียบ” เล่นงานเอา

สนใจรักษาสุขภาพแนวเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ พบกับน.พ.กฤษดา ศิรามพุช ตัวเป็น ๆ ได้ที่งาน TCELS Day จัดโดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2551 สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-644-5499 หรือwww.tcels.or.th
กำลังโหลดความคิดเห็น