สธ.ให้บริการสอบเทียบเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ เพื่อความถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมรับมือเทศกาลสงกรานต์ หลังพบ3%ต้องส่งซ่อม 21% มีความคลาดเคลื่อนสูง
นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย กองรังสีและเครื่องมือแพทย์ และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศ ให้บริการสอบเทียบเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ โดยใช้สารมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมการขนส่งทางบก กรมควบคุมโรค สถานีตำรวจนครบาล สถานีตำรวจภูธร สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โรงพยาบาลต่างๆ และมูลนิธิเมาไม่ขับ เป็นต้น ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 จนถึงเดือนมีนาคม 2551 จำนวน 1,296 เครื่อง พบว่ามีเครื่องที่ชำรุดต้องเปลี่ยนอะไหล่ซึ่งต้องส่งซ่อมยังบริษัทผู้แทนจำหน่าย จำนวน 41 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 3.16 ของเครื่องทั้งหมด และพบว่ามีเครื่องที่มีความคลาดเคลื่อนสูงเกินกำหนดหลังจากทำการสอบเทียบครั้งล่าสุดจะต้องทำการ ตั้งค่าให้ตรงตามมาตรฐาน จำนวน 273 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 21.06 ของเครื่องทั้งหมด ซึ่งหลังจากทำการสอบเทียบและตรวจสอบความถูกต้องของการทำงานของเครื่อง จะมอบใบรับรองการสอบเทียบเครื่องให้แก่ผู้ใช้บริการเพื่อให้ผลการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือดออกมาถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งติดสติกเกอร์รับรองที่เครื่องด้วย
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะมีผู้ขับขี่ยานพาหนะจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุทางถนนบ่อยครั้ง ซึ่งสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุมักมาจากการที่ผู้ขับขี่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์จำพวกเหล้า เบียร์ จนทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนทั่วไป ควรมีการจัดตั้งด่านตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ ถึงแม้ว่าการสอบเทียบไม่ใช่มาตรการบังคับ แต่มีความจำเป็นที่เครื่องมือวัดจะต้องได้มาตรฐาน มีสภาพพร้อมใช้งาน และมีความน่าเชื่อถือ เครื่องจึงต้องได้รับการสอบเทียบโดยห้องปฏิบัติการอย่างสมํ่าเสมอทุก 6 เดือน เพื่อให้ผลการตรวจระดับแอลกอฮอล์ออกมาถูกต้อง แม่นยำและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นตัวตัดสินว่าผู้ขับขี่กระทำผิดกฎหมายหรือไม่
“ขอเชิญชวนให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนส่งเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจเข้ารับการสอบเทียบ ได้ที่กองรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศ”นพ.มานิตกล่าว