xs
xsm
sm
md
lg

แฉตุ๊ดวัยกระเตาะฮิต “ตัดไข่” เผยมี 5 พันเฉาะได้ทั่วประเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แฉ ตุ๊ดวัยกระเตาะฮิต “ตัดไข่” ทางเลือกใหม่กะเทยอยากสวย เผยใช้เงินแค่ 5 พันบาท เฉาะได้รับทำทุกคลินิกทั่วประเทศ เชื่อผิดๆ ทำให้ผิวดี ไม่แมนเหมือนชาย ลั่น 27 มี.ค.นี้ บุกแพทยสภาทวงจรรยาบรรณหมอ ไม่อยากให้วิชาชีพมากำหนดอนาคตเด็ก เผย 16 ปี ก็เฉือนแล้ว ด้านหมอเผยวงการแพทย์ไม่ยอมรับวิธีนี้ ใช้แต่รักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลูกอัณฑะ เตือนอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตร่างกาย ทั้งมวลกระดูก และอาจเป็นวัยทองเร็วกว่าปกติ หมอจุฬาฯนักผ่าตัดแปลงเพศมือหนึ่งเผยผ่าไข่ทิ้งแล้ว ผ่าตัดแปลงเพศยากขึ้น จิตแพทย์เตือนไม่อยากให้ผลีผลามคิดให้ดีก่อน

นายนที ธีระโรจนพงษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มเกย์การเมืองไทย กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองของกลุ่มเด็กชายรักชาย ว่า ถูกรบเร้าจากบุตรหลานให้ไปลงนามยินยอมรับทราบในการผ่าตัดต่อมลูกหมากในคลินิกต่างๆ ที่มีทั่วประเทศ ทั้ง กทม.(อาทิ ย่านประตูน้ำ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี ฯลฯ) ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ชายรักชายในขณะนี้ ด้วยราคาเพียง 4-5 พันบาท โดยมีความเชื่อว่า เมื่อผ่าตัดไปแล้วจะทำให้ผิวพรรณดี สวยงามเหมือนเพศหญิง ไม่มีขนเยอะ อกไม่ผายเหมือนผู้ชาย ลูกกระเดือกไม่โผล่ ฯลฯ ซึ่งผู้ปกครองต่างมีความเป็นห่วงบุตรหลาน เนื่องจากเด็กที่รักร่วมเพศเหล่านี้มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ซึ่งในรายที่พบบางราย 14-15 ปี ก็เข้าคิวเพื่อรออายุ 16 ปี ก่อนจะตัดสินใจผ่าตัดทิ้ง ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจเป็นความคิดชั่ววูบ เพราะกลุ่มรักร่วมเพศไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแปลงเพศทุกรายไป อย่าง นางงามที่เป็นสาวประเภทสองหลายคนก็ไม่ต้องแปลงเพศหรือพึ่งมีดหมอใดๆ เลย อีกทั้งเพศที่ดำเนินการผ่าตัดให้ก็ควรมีจรรยาบรรณในเรื่องดังกล่าว เพราะยังอยู่ในวัยเด็ก ควรให้บรรลุนิติภาวะเสียก่อน

“องค์กรเครือข่ายอัตลักษณ์ทางเพศ ประกอบด้วย กลุ่มเกย์การเมือง บางกอกเรนโบว์ กลุ่มแสงจากใจ กลุ่มสวิง กลุ่มบ้านสีม่วง ฯลฯ จำนวน 10 คนจะเดินทางมายังแพทยสภาในวันที่ 27 มี.ค.เวลา 14.00 น.เพื่อให้ยับยั้งและตรวจการการดำเนินการของผู้ประกอบวิชาชีพที่ดำเนินการผ่าตัดลูกอัณฑะให้กับกลุ่มชายรักชายที่ยังเป็นเด็กอยู่ เนื่องจากไม่มั่นใจในระบบการตรวจสอบของคลินิกผ่าตัดเหล่านี้ ว่า ได้ทำการทดสอบทางจิตวิทยาเด็กเหล่านั้นหรือไม่ว่า เป็นกะเทยแท้ที่ต้องการแปลงเพศในอนาคต หรือเป็นเพียงเกย์คิง และเกย์ควีนส์ ที่ไม่จำเป็นต้องแปลงเพศก็ได้ หรือเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ที่วันนี้อยากทำใจจะขาด แต่ในอนาคตพวกเขาอาจไม่ได้ต้องการอย่างแท้จริง หากเป็นเช่นนี้ใครจะรับผิดชอบ” นายนที กล่าว

นายนที กล่าวว่า จากการพูดคุยถึงผลกระทบที่ตามมาภายหลังจากที่ผ่าตัดลูกอัณฑะออกไปแล้วพบว่า ในอนาคตจะต้องกินฮอร์โมนทดแทนไปเรื่อยๆ เนื่องจากลูกอัณฑะเป็นอวัยวะผลิตฮอร์โมนเพศชาย เมื่อฮอร์โมนหายไปก็ต้องทานฮอร์โมนเพศหญิงทดแทน และต้องทานไปตลอดชีวิต ส่วนนี้เด็กที่ตัดสินใจผ่าได้รับทราบข้อมูลหรือไม่ และจะมีเงินดูแลตัวเองไปตลอดหรือไม่ อีกทั้งการดำเนินการในเด็กอายุเพียง 16 ปี จะเกิดอันตรายกับตัวเด็กอย่างไรบ้าง หากเกิดขึ้นจะรับผิดชอบอย่างไร เนื่องจากเด็กยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต และหากผ่าตัดลูกอัณฑะไปแล้วจะไปผ่าตัดแปลงเพศในอนาคตจะดำเนินการยากยิ่งขึ้น เพราะจะไม่มีผิวหนังลูกอัณฑะเหลือพอจะสร้างอวัยวะเพศหญิง จนต้องนำลำไส้มาแทน

“ผมไม่ต้องการเห็นแพทย์มากำหนดชีวิตเด็กและหากินกับเด็ก เพราะเมื่อมาผ่าตัดลูกอัณฑะด้วยเงินเพียง 4-5 พันบาทแล้ว แล้วในอนาคตก็จะต้องกลับมาผ่าตัดแปลงเพศกับคุณหมอคนเดิม ซึ่งการผ่าตัดแปลงเพศจะมีค่ารักษาพยาบาลเป็นแสนบาท เกรงว่า เด็กจะหลงเชื่อสิ่งเหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายกับตัวเขาเองได้ ซึ่งใครจะมองว่าเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศชาติที่แพทย์จะมากำหนดอนาคตของชีวิตเด็กเช่นนี้”นายนที กล่าว

นายนที กล่าวว่า แม้จะไม่ทราบว่าขณะนี้มีกลุ่มชายรักชายแห่ไปผ่าตัดลูกอัณฑะจำนวนเท่าใด แต่จากที่ได้รับข้อมูลจากการจัดรายการวิทยุเกี่ยวกับกลุ่มรักร่วมเพศ พบว่า กระแสดังกล่าวเพิ่มขึ้นและตื่นตัวอย่างมาก ภายหลังจากที่สมาชิกสภานิติบัญญัติได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นที่กลุ่มสาวประเภทสองสามารถใช้คำนำหน้าว่า น.ส.ได้นั้น ก็สร้างความตื่นตัวในกลุ่มสาวประเภทสองอย่างมากจึงมีความคิดว่าจะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่ทางกฎหมายจะมีการบังคับใช้

นพ.สิทธิพร ศรีนวลนัด อาจารย์ประจำสาขาวิชาศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ทางการแพทย์ไม่มีการยืนยันว่า จะใช้การผ่าตัดลูกอัณฑะเพื่อวัตถุประสงค์ให้ไม่มีฮอร์โมนเพศชาย ผิวพรรณจะดีเหมือนเพศหญิง ไม่มีลักษณะแสดงความเป็นชายเหมือนผู้หญิง แต่จะผ่าตัดเฉพาะรายสำหรับการรักษาโรคอาทิ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งอัณฑะ ซึ่งการผ่าตัดลูกอัณฑะในช่วงอายุ 16 ปี ที่ถือว่าเป็นวัยที่การเติบโตของร่างกายเต็มที่แล้วจะไม่ได้ผลเท่าใดนัก เนื่องจากร่างกายได้มีการพัฒนาการไปแล้ว อาทิ อกกว้างเหมือนผู้ชาย มีขน หนวดเครา ฯลฯ หากจะดำเนินการต้องเป็นในช่วงวัยก่อนที่มีการพัฒนาการของร่างกายคือช่วงอายุ 13-14 ปี ก็พอมีโอกาสเปลี่ยนแปลงเป็นเพศหญิงได้

“ทั้งนี้ อาจมีผลกระทบกับร่างกายตามมา เพราะฮอร์โมนเพศชายกว่า 80% ผลิตจากลูกอัณฑะเมื่อตัดทิ้งฮอร์โมนเพศก็จะหายไป ซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย การสร้างมวลกระดูกจะไม่เติบโตเต็มที่ อีกทั้งจะส่งผลต่อการร่างกายในช่วงสูงอายุขึ้น โดยกลุ่มที่ตัดลูกอัณฑะทิ้งจะทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนเพศชายจะมีอาการอ้วนลงพุง ศีรษะล้าน ความจำแย่ลง เป็นอัลไซเมอร์ และจากเดิมที่เข้าสู่วัยทองช่วงอายุ 45-60 ปีขึ้นไปก็อาจเร็วกว่าคนปกติ ขณะเดียวกันความต้องการทางเพศอาจลดลงด้วย” นพ.สิทธิพร กล่าว

นพ.ศิรชัย จินดารักษ์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง หน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้าง ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การผ่าตัดลูกอัณฑะจะทำให้การผ่าตัดแปลงเพศในอนาคตดำเนินการได้ยากขึ้น เพราะเมื่อผ่าตัดลูกอัณฑะทิ้งจะทำให้ผิวหนังที่ห่อหุ้มลูกอัณฑะมีขนาดเล็กลง ซึ่งโดยปกติการผ่าตัดแปลงเพศจะดำเนินการผ่าตัดอวัยวะเพศไปพร้อมๆ กับการผ่าตัดลูกอัณฑะ จากวิชาการทางการแพทย์จะไม่มีการผ่าตัดลูกอัณฑะก่อนแต่อย่างใด

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เป็นไปได้ที่เด็กวัยรุ่นชายรักชายนิยมไปผ่าตัดลูกอัณฑะ อาจเป็นไปได้ว่าทราบข้อมูลต่อๆ กันมาว่า การผ่าตัดลูกอัณฑะในช่วงวัยไม่ถึง 18 ปี เพื่อให้ร่างกายไม่ได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนเพศชาย แต่ก็เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงสำหรับที่วัยรุ่นไม่ถึง 18 ปี จะตัดสินใจผ่าตัดลูกอัณฑะออก แม้ว่าในภาวะขณะนั้นเด็กอาจจะมีร่างกายเป็นชาย แต่ใจอยากเป็นหญิงก็ตาม เพราะปัจจัยด้านจิตใจและการแสวงหาเอกลักษณ์ของตัวเองในช่วงวัยดังกล่าว อาจยังไม่แข็งแรงพอ มีแนวโน้มที่อาจเปลี่ยนแปลงอยากกลับมาเป็นชายใหม่ได้ในอนาคต ซึ่งหากได้ทำการตัดลูกอัณฑะไปแล้ว และในภายหลังเกิดค้นพบว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนเพศไปอีกเพศ อาจเสียใจ แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว

“อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า การตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวผู้ตัดสินใจจะต้องตัดสินใจจิตแพทย์ทุกครั้ง เพราะเจ้าของชีวิตย่อมมีความหมายต่อการตัดสินใจชีวิตตัวเองมากกว่าใครๆทั้งหมด แต่โดยหลักการแล้วศัลยแพทย์ที่ทำศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศ ที่มีจรรยาบรรณ ส่วนใหญ่จะถามความเห็นหรือขอให้จิตแพทย์มาประเมินความพร้อมทางด้านจิตใจก่อนผ่าตัด โดยเฉพาะหากผู้ที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศเป็นวัยรุ่น ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ การได้ไตร่ตรองและประเมินความพร้อมในด้านต่างๆอย่างรอบครอบน่าจะดีกว่าที่จะตัดสินใจแบบพลีพล่าม”พญ.อัมพร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การผ่าตัดอัณฑะกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากของบรรดาสาวประเภทสอง มีการโฆษณาอย่างโจ๋งครึ่มทางเว็บไซต์ เช่น ระบุว่า “ตัดไข่ ทางเลือกใหม่ของกะเทยอยากสวย” พร้อมกับบรรยายรายละเอียดระบุ ว่า การผ่าตัดอัณฑะ เป็นทางเลือกใหม่ของสาวประเภทสอง และเป็นที่นิยมมากในหมู่นางงามเดินสาย ที่ภาคเหนือ ซึ่งการตัดอัณฑะ หรือ ที่เรียกกันว่า “การตัดไข่” ซึ่ง ณ ขณะนี้การตัดไข่เป็นที่นิยมมาก เนื่องจากมีราคาถูก และใช้เวลารักษาฟื้นตัวเร็วกว่า การแปลงเพศ และผลที่จะได้หลังจากการตัดไข่ ก็ใกล้เคืองกับการแปลงเพศ คือ ความนุ่มนวล ผิวสวย และอื่นๆ เนื่องจากการตัดอัณฑะ (ผ่าไข่) เป็นการกำจัดอวัยวะที่ผลิตฮอร์โมนเพศชายตัวที่ทำให้ร่างกายของเรา มีลักษณะเป็นแบบเพศชาย ประโยชน์ของการไม่มีอวัยวะที่คอยสร้างฮอร์โมนเพศชายตัวที่ว่า ก็คือ ในขณะที่เรากำลังใช้ฮอร์โมนเพศหญิง อยู่เพื่อทำให้ร่างกายแสดงออกถึงลักษณะทาง กายเป็นหญิงนั้น ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น แลดูมีความนุ่มนวลอย่างเพศหญิงและ สามารถใช้ยาฮอร์โมนในจำนวนที่น้อยลงได้โดยที่ร่างกายยังคงสภาพเป็นหญิงอยู่

เว็บไซต์ดังกล่าว ยังบรรยายรายละเอียดข้อดีและข้อเสียของการตัดไข่ ด้วยว่า ผลดีคือ ไม่ต้องทานยามากเหมือนก่อนการตัดไข่ ผิวสวย กรณีของการตัดอัณฑะ ร่วมกับการใช้ฮอร์โมนเพศหญิง... ข้อดีคือ มันจะได้ผลดีกว่า ฮอร์โมนเพศหญิงที่รับเข้าไป ซึ่งก็คงพอเพียงในการคงสภาพร่างกายให้เป็นหญิง เหมาะสมสำหรับ ผู้ที่ทานยาจำนวนมาก และทานมานานจนทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ, ผู้ที่ยังไม่คิดเรื่องแปลงเพศ แต่ต้องการให้รูปร่าง ผิวพรรณ เหมือนผู้หญิง, ผู้ที่มีงบน้อย.... ส่วนผลเสียของการตัดไข่ คือจะส่งกระทบต่อ ผู้ที่จะแปลงเพศ เพราะเนื่องจากการตัดไข่ออก จะทำให้หนังบริเวณถุงอัณฑะ เกิดการฝ่อตัว ซึ่งส่งผลต่อ การทำช่องคลอด หรือการตกแต่งอวัยวะเพศ ในเมื่อไม่มีเนื้อตรงถุงอัณฑะ ก็ต้องใช้ผิวหนังบริเวณอื่น (เนื้อที่ต้นขา,สะโพก,ลำไส้หรือที่เรียกว่าการต่อแบบโคลอน) มาใช้แทนผิวหนังถุงอัณฑะ ดังนั้น ผู้ที่มีแนวโน้มจะแปลงเพศ ควรจะคิดติตรองให้ดี ก่อนที่จะตัดสินใจทำลงไป เพราะทางการแพทย์ จะไม่ทำการผ่าตัดไข่ให้ผู้ที่มีแนวโน้มที่จะแปลงเพศ

นอกจากนี้ยังมีการบอกถึงขั้นตอนของการตัดไข่ ด้วยว่า ขั้นตอนการตัดอัณฑะคือ หมอจะฉีดยาที่เส้นเลือดบริเวณมือ แล้วก็จะรู้สึกมึนๆเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็คงเหมือนกับการทำศัลยกรรม ตา หน้าอก คาง ฯลฯ ซึ่งไม่ต้องถึงกับ บล็อคหลังอย่างที่เข้าใจ แผลก็เล็กมาก การผ่าจะใช้มีดกรีดปากแผลบริเวณผิวหนังตรงกลาง ระหว่างลูกอัณฑะทั้งสองลูกยาวลงมา ประมาณ 1 เซนติเมตร แล้วหมอก็ตัดลูกอัณฑะทั้งสองลูกออกแล้วก็เย็บแผล ด้วยไหมละลายโดยซ่อนรอยเข็มไว้(เหมือนสอยซ่อนด้าย) ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 15 นาทีหลังจากผ่าเสร็จก็รอหมดฤทธิ์ยาหายมึนแล้วประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ขับรถกลับบ้านได้ตามปกติ แต่อีกประมาณ 1-2 วันจะเริ่มปวดท้องน้อยประมาณ 5-7 วันคล้ายๆ ปวดท้องประจำเดือนแต่ปวดไม่มากแต่ปวดทั้งวัน ซึ่งอาจจะสร้างความรำคาญเล็กน้อย ประมาณ 1 อาทิตย์ก็ให้หมอดูแผล การดูแลรักษาก็ประมาณ 2-3 อาทิตย์ อาจจะต้องใช้ผ้าอนามัยด้วยเพราะแผลยังไม่แห้งดีช่วงผ่าแรกๆจะยังปวดนิดหนึ่ง รู้สึกเหมือนไม่ได้ผ่าออก แต่ประมาณ 1เดือนจะยุบสนิท ถ้าแผลหายดีแล้วก็จะไม่เห็นรอยผ่าตัดเลยเหมือนแค่คนเกิดมาไม่มีลูกอัณฑะ เท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น