xs
xsm
sm
md
lg

สภากาชาดห้าม “กะเทย เกย์” บริจาคเลือด หลังพบเอชไอวีเพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“สภากาชาดไทย” ออกกฎคุมเข้มปฏิเสธรับเลือดบริจาคจากกะเทย เกย์ รวมถึงผู้หญิงที่เคยมีเซ็กซ์กับชายในประเทศที่มีการระบาดของโรคเอดส์ หลังต้องคัดเลือดบริจาคติดเชื้อเอชไอวีทิ้งวันละหลายยูนิต เผยวิจัยพบชายรักชายที่ไม่สวมถุงยางอนามัย มีโอกาสติดเชื้อเอดส์ 127 รายต่อหมื่นประชากร

พญ.สร้อยสอางค์ พิกุลสด ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ภายหลังจากสภาการชาดไทยตรวจพบเลือดที่ได้การบริจาคว่ามีการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มสูงขึ้น จนต้องคัดแยกเลือดทิ้งวันละหลายยูนิตเพื่อความปลอดภัย ดังนั้น สภากาชาดไทยจึงจำเป็นต้องยืนยันที่จะปฏิเสธการรับเลือดบริจาคจากผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ และผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายในประเทศที่มีการระบาดของโรคเอดส์สูง

พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการวิชาการของสภากาชาดไทยได้มีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะไม่ตัดข้อสอบถามในใบสมัครผู้บริจาคโลหิตข้อ 12 ที่ระบุว่า ท่านหรือคู่ของท่านมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันใช่หรือไม่ออกไป ตามที่องค์กรเครือข่ายอัตลักษณ์ทางเพศร้องเรียนว่าเป็นการจำกัดสิทธิของกลุ่มเพศที่ 3 นอกจากนี้ยังได้เพิ่มข้อความใหม่ในข้อที่ 11 ของเอกสารดังกล่าว ด้วยว่า ท่านหรือคู่ของท่านทั้งชายและหญิงมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับผู้อื่นใช่หรือไม่ รวมทั้งยังเพิ่มข้อความในข้อที่ 12 ใหม่เป็น ท่านหรือคู่ของท่านทั้งชายและหญิงมีเพศสัมพันธ์กับเพศชายด้วยกันใช่หรือไม่อีกด้วย

พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวต่อว่า ข้อสรุปดังกล่าวจะนำเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการสภากาชาดไทยชุดใหญ่อีกครั้ง ซึ่งในที่ประชุมคณะอนุกรรมการมีข้อถกเถียงในรายละเอียดเรื่องถ้อยคำบางส่วนที่อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ข้อความในข้อที่ 12 เรื่องการมีเพศสัมพันธ์กับเพศชายด้วยกันนั้นจะเป็นการตอกย้ำกลุ่มชายรักชายหรือไม่ ซึ่งในที่ประชุมใหญ่ก็อาจหารือกันอีกครั้ง แต่คาดว่าคงจะใช้ตามที่คณะอนุกรรมการเสนอ

“ส่วนที่กลุ่มองค์กรเครือข่ายอัตลักษณ์ทางเพศเรียกร้องสิทธิเกี่ยวกับกลุ่มชายรักชายที่สภากาชาดไทยปฏิเสธการรับบริจาคจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นมาตรฐานในการคัดเลือกผู้บริจาคโลหิตขององค์การอนามัยโลก เช่นเดียวกันกับคุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต อาทิ น้ำหนักของผู้บริจาคจะต้องไม่ต่ำกว่า 45 กิโลกรัม ไม่มีโรคประจำตัว ไม่รับประทานยาที่มีผลต่อโลหิต หรือภายใน1ปีไม่มีการสักเจาะหู รวมถึงการมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ โดยเฉพาะกลุ่มชายรักชาย ดังนั้น สภากาชาดจำเป็นต้องขอใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่รอเลือดที่ไม่มีโอกาสในการคัดเลือกเลือดให้กับตนเอง อย่างน้อยก็เป็นการป้องกันจากกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ โดยเฉพาะกับกลุ่มรักร่วมเพศ เช่น กะเทย ตุ๊ด ฯลฯ” พญ.สร้อยสอางค์กล่าว

ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า มีงานวิจัยล่าสุดที่ลงในวารสารทางการแพทย์ชื่อ ทรานส์ฟิวชัน เมดิซีน ฉบับที่ 18 ปี 2008 หน้าที่ 49-54 ด้วยว่า งานวิจัยดังกล่าวเป็นการทำวิจัยของนักวิจัยชาวออสเตรเลียเป็นสิ่งยืนยันล่าสุดที่เห็นว่า กลุ่มชายรักชายมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์มากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มของหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มาจากประเทศที่การระบาดของโรคนี้อย่างรุนแรงได้แก่ ประเทศไทยและประเทศแอฟริกาใต้ นอกจากนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ชายรักชายที่ไม่สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์มีโอกาสติดเชื้อเอดส์ 127 รายต่อหมื่นประชากร หากสวมถุงยางอนามัยมีโอกาส 7 รายต่อหมื่นประชากร

ส่วนหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่อยู่ในประเทศที่มีการระบาดมากโดยไม่สวมถุงยางอนามัยมีโอกาสติดเอดส์ 20 รายต่อหมื่นประชากร แต่หากสวมถุงยางอนามัยมีโอกาสติด 2 รายต่อหมื่นประชากร เมื่อเทียบข้อมูลระหว่างชายที่มีเพศสัมพันธ์กับหญิงขายบริการทางเพศโดยไม่สวมถุงยางมีโอกาส 0.4 รายต่อหมื่นประชากร และหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีคู่นอนหลายคู่โดยไม่สวมถุงยางอนามัยมีโอกาสติดเอดส์เพียง 0.2 รายต่อหมื่นประชากรเท่านั้น

“ในแต่ละวันมีการคัดเลือดจากผู้บริจาคทิ้ง เนื่องจากพบว่าเลือดดังกล่าวมีเชื้อเอชไอวีอยู่ หลังจากนั้นจะเชิญผู้บริจาคมาสอบถามสาเหตุ ซึ่งมีทั้งหญิงและชาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย และเมื่อสอบถามถึงพฤติกรรมเชิงลึกพบว่า ชายเหล่านั้นเป็นกลุ่มรักร่วมเพศโดยไม่เปิดเผย และได้มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันโรค ดังนั้น ถ้ามีบุคคลที่เป็นตุ๊ด แต๋ว หรือชายแต่งหญิงมาบริจาคโลหิตคงต้องคัดผู้บริจาคเหล่านี้”พญ.สร้อยสอางค์ กล่าว

พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวด้วยว่า ถึงวันนี้ต้องถามสังคม และโยนความรับผิดชอบให้กับผู้บริจาคโลหิตทุกคนที่ต้องการจะมาทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่า เลือดในตัวคุณเองมีคุณภาพมากเพียงใด และการอยากทำบุญเหมือนกับใส่บาตรกับพระสงฆ์ ก็ต้องทำอาหารที่ดี ชั้นเลิศ ถวายพระ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องถามตัวเองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ซ้ำร้ายบางคนยังคิดว่าจะมาบริจาคเลือดเพื่อถือโอกาสตรวจร่างกาย ตรวจเลือดตัวเองเป็นเรื่องหลัก และเรื่องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นเรื่องรองด้วยซ้ำ ซึ่งความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ก็เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย

“แม้สภากาชาดไทยจะไม่สามารถทราบพฤติกรรมของชายจริงหญิงแท้ว่าสำส่อนทางเพศหรือไม่ ซึ่งยอมรับว่าในปัจจุบันนี้ก็มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงกว่ากลุ่มชายรักชายอีก แต่ในเมื่อสามารถเลือกได้ว่ากลุ่มเสี่ยงคือใคร แต่ก็ขอเลือกที่จะไม่เอาความเสี่ยงนั้นให้กับคนไข้ แต่ในเมื่องานวิจันยืนยันชัดว่ากลุ่มชายรักชายมีโอกาสติดเชื้อเอดส์มากกว่ากลุ่มอื่นๆ สภากาชาดไทยก็จะขอร้องให้ช่วยเหลือในด้านอื่นๆแทน ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นใจ แต่เมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใดๆได้ จะว่าเหมือนกฎเหล็กก็ไม่เชิง และไม่ใช่ว่าไม่ต้องการโลหิตที่ผู้ใจบุญบริจาค แต่ก็ต้องยึดผลประโยชน์ของคนไข้เป็นหลัก” พญ.สร้อยสอางค์ กล่าว

ด้านนายนที ธีระโรจนพงษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มเกย์การเมืองไทย กล่าวว่า ยอมรับว่าปัจจุบันความเสี่ยงในกาติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มเกย์สูงจริง โดยเฉพาะบรรดาเกย์ที่นิยมไปใช้บริการเซาน่าเกย์ ซึ่งในอดีตจะคัดกรองลูกค้า แต่ปัจจุบันปรากฏว่า ซาวน่าเกย์เปิดกันอย่างโจ๋งครึ่ม ตามย่านต่างๆ ใน กทม. เช่น คลองตัน งามดูพลี ไปจนถึงบนตึกต่างๆ ย่านถนนสีลม โดยส่วนใหญ่จะบรรยากาศเย้ายวนต่อการมีเพศสัมพันธ์ เช่น ไปสลัว ทำห้องมืดๆ เช่น ห้องอบไอน้ำ หรือแม้แต่ห้องเวิร์ก ซึ่งจัดเพื่อการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง

ตนเคยได้ยินว่าเกย์บางคนไปใช้บริการเซาน่าเพื่อที่จะมีเพศสัมพันธ์แบบสวิงกิ้งกับหลายคน หลายคู่ ซึ่งก็ยิ่งทำให้มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น นอกจากนี้ บางแห่งยังมีการทำโปรโมชันพิเศษให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปใช้บริการฟรี เพื่อเป็นตัวล่อให้บรรดาเกย์สูงวัยเข้าไปเท่ยวเพื่อไปดูเด็กหนุ่มๆ นุ่งผ้าผืนเดียว แล้วเกิดอารมณ์เปลี่ยว จนนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ในที่สุด ทั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าการมีเพศสัมพันธ์ในบรรยากาศเช่นนั้นจะมีเวลาใส่ถุงยางเพื่อป้องกันหรือไม่

นายนที กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดเผยตัวเลขการทำสำรวจการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มชายรักชายว่ามีอัตราเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะมีการติดเชื้อในเซาน่าที่ให้บริการเฉพาะกลุ่มชาวเกย์ โดยเฉพาะใน กทม.มีการติดเชื้อเอชไอวีสูงถึง 28% ขณะที่ทั่วประเทศมีอัตราการติดเชื้อเฉลี่ยประมาณ 17% ทำให้เกิดความระแวงต่อกลุ่มเกย์ และชายรักชายที่ไม่ใช่กะเทย โดยทางสภากาชาดไทยได้ออกประกาศงดรับการบริจาคโลหิตจากผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ซึ่งบรรดาเครือข่ายองค์กรเกย์ได้มีการหารือกับทางสภากาชาดไทยแล้วก็ได้รับการยืนยันว่าสภากาชาดไทยจำเป็นต้องมีมาตรการในการคัดกรองโลหิตที่มีความปลอดภัยให้แก่ผู้รับบริจาค และกลุ่มเกย์ กะเทยที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศก็เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ทางสภากาชาดไทยคงต้องขอปฏิเสธที่จะรับบริจาคเลือด
กำลังโหลดความคิดเห็น