xs
xsm
sm
md
lg

รื้อสอบขอใบขับขี่ใหม่-ออกกฎคุมโรคต้องห้าม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - กรมการขนส่งฯ สังคายนาการสอบขอใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ใหม่ ประสานแพทยสภาออกกฎคุมโรคต้องห้าม หลังเจอกรณี “หงิกมีปัญหา” ระบุวัยรุ่นตาบอดสีอื้อ เบาหวาน วัยทองเข้าข่ายโดนด้วย เข้มใบรับรองแพทย์ต้องแจงโรคละเอียดยิบ ชี้เชื่อมฐานข้อมูลหมอทำให้ปลอมยาก คาดยกร่างข้อบังคับใหม่เสร็จใน 6 เดือน

นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะโฆษกกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมการขนส่งฯ มีแผนจะปรับเปลี่ยนระบบการทดสอบเพื่อออกใบอนุญาตขับรถทั้งรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหาในการประเมินผลย่างมาก ทั้งเรื่องการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย การสอบข้อเขียน และการสอบปฏิบัติ โดยเฉพาะการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย โดยปกติผู้มาทดสอบจะต้องนำใบรับรองจากแพทย์มาประกอบการในการยื่นเอกสารขอทดสอบ จากนั้นจึงเข้าทดสอบสมรรถภาพร่างกายเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งฯ ซ้ำอีกครั้ง หากไม่มีปัญหาก็สามารถเข้าสอบข้อเขียน และสอบปฏิบัติได้

“ปัญหาความสมบูรณ์ของร่างกายที่พบเป็นประจำ คือ เรื่องใบรับรองแพทย์ ที่ปัจจุบันจะระบุเพียงว่า ร่างกายปกติไม่เป็นอุปสรรค์ปัญหาในการขับขี่รถ แต่พอเข้าทดสอบร่างกายเบื้องต้นกับเจ้าหน้าที่ขนส่งฯ กลับไม่ผ่านการตรวจสอบ โดยเฉพาะโรคทางตา เช่น ตาบอดสี ตามองเห็นแต่มุมกว้าง หรือเบลอ เห็นภาพไม่ชัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้เป็นแพทย์จึงไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ ผู้ทดสอบต้องเสียเวลาไปหาแพทย์เพื่อยืนยันโรคอีกครั้ง” นายชัยรัตน์ กล่าว

นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ในจำนวนผู้ขอทดสอบเพื่อออกใบอนุญาตขับรถเป็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นค่อนข้างมาก และส่วนใหญ่มักจะไม่ผ่านการทดสอบด้านสายตา เพราะตาบอดสี และมองมุมกว้างไม่เห็น สาเหตุอาจจะมากจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่ ที่มีอาชีพเชื่อมเหล็ก อ็อกเหล็ก ที่ต้องอยู่กับแสง ประกายไฟ เป็นเวลานานก็มีปัญหาเช่นกัน นอกจากนี้ ยังพบว่ามีกลุ่มโรคบางโรคที่อาจเป็นปัญหาต่อการขับขี่รถยนต์ด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคลมชัก หรือบ้าหมู มือเท้ากระตุก เพราะโรคเหล่านี้อาจเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้ช็อก หรือวูบกะทันหันขณะขับรถ หรือควบคุมอารมณ์ไม่อยู่


ปัญหาที่เกิดขึ้นทางกรมการขนส่งฯ ได้ประสานไปยังแพทยสภา ให้เร่งร่างกฎระเบียบเกี่ยวกับโรคต้องห้ามและเป็นอุปสรรค์ในการขับรถใหม่ เพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกันสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งกรณีของน้องหมูแฮม กัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ ที่เป็นโรคลมชักขับรถชนรถเมล์ ก็ถือเป็นกรณีศึกษาและเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขระเบียบในการออกใบอนุญาตใหม่ เพราะการขับขี่รถยนต์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่เพียงจะเป็นอันตรายต่อตัวเองเท่านั้น ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นด้วย” นายชัยรัตน์ กล่าว

นายชัยรัตน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในอนาคตการสอบปฏิบัติจะต้องใช้รถยนต์ที่ทางราชการจัดไว้ให้เท่านั้น ไม่สามารถใช้รถยนต์ส่วนตัวมาสอบได้เอง เพราะกรมการขนส่งฯ จะมีการติดตั้งระบบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์ หรือ (E-Driving) เป็นระบบคอมพิวเตอร์ แนะนำการขับขี่ ว่าจะต้องขับขี่ในท่าได้บ้าง เช่น ขับรถทางตรง เลี้ยว จอดเทียบชิดขอบถนน หรือถอยหลังเข้าช่องจอดรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งหลักจากขับขี่ในแต่ละท่าเสร็จ ระบบจะให้คะแนนประเมินผลทันที ซึ่งถือเป็นระบบที่ทันสมัยอย่างมาก ช่วยลดปัญหาข้อพิพาทขัดแย่งระหว่างผู้สดสอบและผู้ให้คะแนน ทั้งนี้ การดำเนินการอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลและการประเมินราคาการจัดซื้อและติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่

ด้าน น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธิพร คณะเจริญ กรรมการแพทยสภาในฐานะเลขาอนุกรรมการคณะทำงานยกร่างแก้ไขข้อบังคับใบรับรองมาตรฐานสุขภาพ กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกได้ขอความร่วมมือแพทยสภาให้เป็นผู้ยกร่างแก้ไขข้อบังคับใบรับรองมาตรฐานสุขภาพ (ใบรับรองแพทย์) ขึ้น เพื่อใช้ประกอบการทดสอบเพื่อออกใบอนุญาตขับรถ โดยแพทยสภาได้ยกร่างแก้ไขข้อบังคับใบรับรองมาตรฐานสุขภาพขึ้นใหม่ โดยใช้มาตรฐานสหรัฐฯและยุโรปเป็นต้นแบบและมีการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมกับไทย นอกจากนี้ ยังได้ส่งร่างข้อบังคับดังกล่าวไปยังราชวิทยาลัยแพทย์ 13 แห่ง และโรงเรียนแพทย์ 1 แห่ง พิจารณาข้อมูลความถูกต้อง ความเหมาะสม และมีโรคอื่นๆ ที่จะเพิ่มเติมในข้อบังคับหรือไม่ ทั้งนี้เมื่อร่างข้อบังคับดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์จะมีการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นประชาชนด้วย

น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธิพร กล่าวต่อว่า เนื้อหาสาระสำคัญของใบรับรองมาตรฐานสุขภาพในร่างแก้ไขข้อบังคับนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ส่วนที่ผู้จะขอทดสอบเพื่อขอใบอนุญาตขับรถจะต้องร่วมให้ประวัติทางการแพทย์ ว่า เคยเป็นโรคที่สำคัญๆ อะไรบ้าง เช่น เคยผ่าตัดหัวใจ เป็นโรคเกี่ยวกับสมอง โรคลมชัก มีประวัติเคยใช้ยาเสพติด เป็นโรคเกี่ยวกับตา จอประสาทตา การได้ยิน ในใบรับรองแพทย์ด้วย เนื่องจากแพทย์อาจไม่สามารถซักถามคลอบคุลมได้ทั้งหมด และส่วนที่ 2.เป็นหน้าที่ของแพทย์ที่ตรวจให้ความเห็นว่ามีโรคต่างๆ หรือไม่ มีสุขภาพที่เหมาะสมในการขับรถหรือไม่ ทั้งนี้ ยังไม่มีการจำกัดจำนวนโรคว่ามีกี่โรคที่ต้องแจ้ง แต่จะออกแบบให้การกรอกแบบฟอร์มนี้ สั้น กระชับ สะดวกและใช้เวลาน้อยที่สุด

 “เดิมกฎหมายระบุไว้ว่าใบรับรองแพทย์ให้แสดงเพียง 5 โรค ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการขับรถหรือป้องกันภัยในการขับรถ คือ ไม่เป็นโรคติดต่อเป็นที่รังเกียจ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต ไม่ติดสุรา ยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แต่ในข้อบังคับฉบับใหม่จะเน้นโรคที่เกี่ยวข้องกับการขับรถจริงๆ โดยแบ่งเป็นโรคระบบประสาท โรคลมชัก โรคกล้ามเนื้อลีบ อ่อนแรง ทั้งมือ เท้า ความพิการ โรคระบบการมองเห็น โรคตาบอดสี มองเห็นด้วยตาเพียงข้างเดียว โรคระบบการได้ยิน โรคเรื้อรังและอื่นๆ โดยมีแบบฟอร์มใบรับรองแพทย์ให้เสร็จ หมอเพียงแต่บอกว่า มีหรือไม่มี จะไม่บอกเพียงว่าร่างกายสมบูรณ์หรือไม่ แต่จะบอกถึงโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการขับขี่ทั้งหมด หรืออาจจะไม่พบโรคใดๆ เลยก็ได้” น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธิพร กล่าว

น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธิพร กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม โรคที่เป็นอุปสรรคต่อการขับขี่รถสามารถขับขี่ด้วยกรณีพิเศษ เช่น มีแขนข้างเดียว โดยได้รับอนุญาตให้ขับรถที่มีลักษณะพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อผู้พิการโดยเฉพาะ  โดยกฎหมายไม่ได้ปิดกันผู้พิการ เช่นเดียวกันกับโรคอื่นๆ ที่ได้รับการรับรองจากแพทย์ประจำตัว ว่า มีการตรวจเช็กร่างกายเป็นประจำ สามารถขับขี่พาหนะได้ แต่หากกรณีผู้ที่เป็นโรคลมชัก และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ผู้ที่เป็นโรคที่ขาดยาไม่ได้โดยยามีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม อาจมีปัญหาในการขับขี่ ซึ่งกลุ่มนี้จะได้รับอนุญาตให้ขับขี่ในระยะสั้นๆ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ส่วนผู้ที่ได้รับอนุญาตขับรถตลอดชีพ จะต้องมีการตรวจรับรองโรคหรือไม่ ยังต้องมีการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธิพร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ มีการหารือกรณีผู้ขับขี่ที่อยู่ในวัยทอง ซึ่งเป็นวัยที่มีขับขี่รถมากเป็นพิเศษ อาจมีปัญหาการควบคุมอารมณ์ ประสิทธิภาพการได้ยินลดลง คิดช้า จะมีการพิจารณาว่าจะดูแลอย่างไร โดยยังไม่มีการพิจารณาอายุว่าจะใช้ช่วงเกณฑ์ใด 

“สำหรับร่างแก้ไขข้อบังคับฉบับนี้จะแล้วเสร็จทุกกระบวนการภายใน 6 เดือน จากนั้นจะต้องมีปรับแก้ไขระเบียบกรมขนส่งทางบกให้สอดคล้องกันด้วย เพื่อให้ใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ” นอ.(พิเศษ) นพ.อิทธิพร กล่าว

น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธิพร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในการหารือจะร่วมกันแก้ปัญหาการออกใบรับรองแพทย์ปลอมด้วยโดยจะมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลเกี่ยวของแพทย์กับกรมการขนส่ง ดังนั้นจึงปลอมใบรับรองแพทย์ยากขึ้น เนื่องจากจะสามารถตรวจสอบได้ว่า แพทย์รายใดที่เป็นผู้ออกใบรับรอง เป็นแพทย์จริงหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น