“กษมา” ลั่น รับนักเรียนปีนี้ต้องปลอดแปะเจี๊ยะ หากผู้ปกครองพบให้แจ้งเบาะแสมาที่ สพฐ.ได้ทันที ระบุ จำกัดนักเรียนต่อห้องให้อยู่ที่ 50 คน หากจะขยายต้องแจ้งมาที่ สพฐ.ด้านโรงเรียนดัง “เทพศิรินทร์” ใช้วิธีเปิดบัญชีธนาคารให้ผู้ปกครองบริจาคหลังรับนักเรียนเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีการระดมทรัพยากรที่โรงเรียนขณะรับนักเรียน
วันนี้ (14 มี.ค.) ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) พร้อมด้วยผู้บริหารกรุงเทพมหานคร (กทม.) เดินทางตรวจเยี่ยมการรับสมัครนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2551 ซึ่งเปิดรับสมัครเป็นวันแรก โดยบรรยากาศการเปิดรับสมัครมีผู้ปกครองจำนวนมากพาบุตรหลานมาสมัครเข้าเรียนกันแต่เช้า ซึ่ง สพฐ.ได้กำหนดปฏิทินรับสมัครนักเรียน ม.1 ปีนี้ ระหว่างวันที่ 14-18 มีนาคม และชั้น ม.4 ในโรงเรียนที่เปิด ม.ต้น และ ม.ปลายรับสมัครระหว่างวันที่ 14-18 มีนาคม และโรงเรียนที่เปิดเฉพาะม.ปลายรับสมัคร 14 -18 มีนาคม
คุณหญิงกษมา กล่าวว่า ในปีนี้เปิดโอกาสให้โรงเรียนรับนักเรียนด้วยการสอบมากขึ้นบางแห่งสอบ 100% เชื่อว่า จะทำให้เด็กมีความกระตือรือร้นมากขึ้น และไมได้ทำให้เด็กในเขตพื้นที่บริการขาดโอกาสลดลง เพียงแต่วิธีการได้เข้าเรียนมีการปรับบางแห่งคือการสอบ และการจับสลาก ส่วนเด็กที่มาสมัครในโรงเรียนดังซึ่งมีโอกาสพลาดการได้เข้าเรียนนั้น ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะต้องดูแลให้เด็กทุกคนมีที่เรียน แน่นอน โดยในปีนี้ต้องขอบคุณ กทม.ที่มีความห่วงใยเด็กนักเรียน และเกรงว่าเด็กจะไม่มีที่เรียนจึงได้จัดที่เรียนเพิ่มขึ้นจำนวน 3,000 ที่นั่ง ด้วย
ส่วนจำนวนนักเรียนต่อห้องนั้นในปีนี้ น่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเพราะ สพฐ.ได้พยายามแก้ปัญหามาหลายปีแล้ว อย่างโรงเรียนเทพศิรินทร์เองก็พยายามลดจำนวนนักเรียนลง เพราะเด็กแน่นห้องมาก และในปีนี้ตนได้เน้นย้ำ ผอ.สพท.185 เขตขออย่าให้จำนวนนักเรียนต่อห้องเกิน 50 คนและหากเกินก็ขอให้แจ้งมาที่ สพฐ.
“ส่วนเรื่องการรับแปะเจี๊ยะเพื่อแลกกับการเข้าเรียน สพฐ.มีนโยบายห้ามทุกโรงเรียนรับอยู่แล้วหากมีโรงเรียนใดรับ ผู้ปกครองสามารถแจ้งเบาะแส ข้อมูลมาได้ที่ สพฐ.เลย แต่อาจจะต้องขอการสนับสนุนจากผู้ปกครองเพื่อแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายของโรงเรียนที่ไม่เพียงพอโดย สพฐ.จะพยายามให้มีน้อยที่สุด”
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวอีกว่า ในส่วนของโรงเรียนสังกัด กทม.ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกทม.1,500 บาทต่อคนต่อปี ทำให้โรงเรียนเหล่านั้นมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ในโรงเรียน สพฐ.ไม่มีงบประมาณช่วยเหลือเพิ่มเติมในลักษณะดังกล่าว จึงทำให้บางโรงเรียนต้องขัดสน และสพฐ.พยายามขอเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหากได้รับเงินอุดหนุนมาจริงจำเป็นที่โรงเรียนจะต้องลดค่าใช้จ่ายลง และต้องไม่เพิ่มภาระให้กับผู้ปกครองด้วย ทั้งนี้ โรงเรียนที่ สพฐ.จะประกาศรายชื่อโรงเรียนที่จะไม่เก็บค่าใช้จ่ายนั้นได้ขอให้ผอ.สพท.ทุกแห่งไปจัดเก็บข้อมูลว่าขณะนี้โรงเรียนมีความจำเป็นที่จะขอรับบริจาคในรูปแบบต่างๆ จากผู้ปกครองเป็นเงินเท่าไร และจะได้ขึ้นบัญชีข้อมูลของแต่ละโรงเรียนเอาไว้ว่าโรงเรียนแห่งนี้ได้รับเงินอุดหนุนเท่าไรมีจำนวนครูและนักเรียนกี่คน ค่าสาธารณูปโภคเท่าไรและยังเดือนร้อนงบประมาณจำนวนแค่ไหน คาดว่า ภายใน 1 เดือนนี้น่าจะได้ข้อมูล
ด้านนายประกาศิต ยังคง ผอ.โรงเรียนเทพศิรินทร์ กล่าวว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทางโรงเรียนได้ลดจำนวนรับนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.4 ลงมาตลอด เพราะโรงเรียนมีพื้นที่จำกัด และที่ผ่านมาก็รับนักเรียนจำนวนมาก โดย 3 ปีที่ผ่านมามีนักเรียนชั้นม.1-6 เกือบ 4 พันคน จึงนี้ได้เริ่มลดจำนวนห้องเรียน จำนวนนักเรียนต่อห้องเพื่อคุณภาพ จนปัจจุบันได้ลดจำนวนห้องชั้น ม.1 เหลือเพียง 8 ห้องจากเดิมที่มี 10 ห้องเรียน และจะจำกัดนักเรียนต่อห้องไม่ให้เกิน 50 คน ซึ่งตนเชื่อว่าการที่ทำเช่นนี้จะทำให้เพิ่มคุณภาพการศึกษาได้
“ส่วนเด็กที่พลาดหวังเข้าเรียนนั้นสามารถเข้าไปเรียนในโรงเรียนสหกิจซึ่งเป็นโรงเรียนพี่-โรงเรียนน้อง ของโรงเรียนเทพศิรินทร์ คือ โรงเรียนวัดชัยมงคล โรงเรียนวัดสระเกศที่จะได้รับการดูแลจากทางโรงเรียนเหมือนกันการมาเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ เช่น การนำครูช่วยสอน การนำเด็กมาทำกิจกรรมร่วมกัน ส่วนปัญหาแป๊ะเจี๊ยะนั้นจะเกิดขึ้นกับโรงเรียนบางแห่งในช่วงที่มีการเพิ่มจำนวนนักเรียนต่อห้อง ก็จะไปเรียกร้องจากผู้ปกครอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สพฐ.ห้ามไม่ให้ทำ ส่วนการจะสนับสนุนเมื่อเข้ามาเรียนแล้วสามารถทำได้ ซึ่งในปีนี้โรงเรียนเทพศิรินทร์จะไม่มีการรับบริจาคที่โรงเรียนแต่จะเปิดบัญชีธนาคารให้ผู้ปกครองบริจาค เพื่อระดมทรัพยากรได้ในช่วงหลังจากที่รับนักเรียนเสร็จแล้วโดยจะออกใบเสร็จให้ ทั้งนี้ การเปิดรับบริจาคดังกล่าวจะให้บริจาคได้ในช่วงหลังการรับนักเรียนเสร็จแล้ว”นายประกาศิต กล่าว
