อภ.กระตุ้นเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ผิวพรรณ ใช้นวัตกรรมซึมลึกคล้ายลาแมร์ รายได้ 100 ล้าน ยังไม่ทะลุเป้า เตรียมส่งครีมหน้าเด้งกันแดด-ไวท์เทนนิ่งมะขามป้อม คาดอีก 3 เดือน วางตลาด ฟุ้งอนาคตส่งออก จัดทัวร์ลงเหมือนศูนย์โสมของเกาหลีใต้
ภก.วันชัย ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กล่าวว่า หลังจากที่อภ.เปิดตลาดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ กลุ่มสุขภาพผิวพรรณ ที่มีส่วนผสมของขมิ้นชันเป็นหลัก ทั้งเจลใสล้างหน้า ครีมหน้าเด้ง โทนเนอร์ เจลลดริ้วรอยและรอยหมองคล้ำรอบดวงตา และโลชั่นรุงผิว โดยใช้นวัตกรรมในการช่วยดูดซึมเข้าสู่ผิวพรรณแบบซึมลึกเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยี่ห้อลาแมร์ แต่ราคาถูกกว่า ช่วยสร้างรายได้ให้กับองค์การฯ 100 ล้านบาทต่อปี ถือว่ายังไม่ถึงเป้าที่วางไว้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลิตภัณฑ์ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากนัก จากนี้อภจะเปิดตลาดเชิงรุกด้วยการจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปจัดแสดงสินค้าและแจกผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองให้กับประชาชนในต่างจังหวัด เพื่อเป็นการขยายตลาดออกไปในวงกว้าง
ภก.วันชัย กล่าวต่อว่า ในอีกทางหนึ่งอภ.จะผลิตสินค้ารูปแบบใหม่ๆออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วย ในเร็วๆนี้จะเปิดตัวสินค้าใหม่ 2 ชนิด คือ 1.ครีมหน้าเด้งกันแดด จะช่วยให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์สองเท่าจากการใช้ครีมเพียงครั้งเดียว ทั้งช่วยคงความอ่อนเยาว์และป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ และ2.ไวท์เทนนิ่งมะขามป้อม เป็นการนำมะขามป้อม ผลไม้ไทยที่เป็นที่นิยมในร้านสปา เนื่องจากมีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสียอย่างได้ผล มาผลิตในรูปของครีมให้สามารถใช้ได้สะดวก คาดว่าทั้ง 2 ชนิดจะวางตลาดได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ส่วนจะมีขนาดและราคาเท่าไหร่ ขณะนี้กำลังสำรวจความต้องการของตลาดและผลิตภัณฑ์ยี่ห้อต่างๆที่มีการวางขาย จากนั้นจึงจะนำมากำหนดอีกครั้งหนึ่ง
“จากการทำการวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนาของอภ.พบว่ามะขามป้อมช่วยทำให้ผิวขาวขึ้น และใช้ได้ผลดีกว่ามะขามเปียก การที่อภ.มุ่งเน้นพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เพราะต้องการให้คนไทยใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทย แทนที่จะไปใช้สินค้านำเข้าซึ่งส่วนใหญ่เน้นการใช้สารเคมี ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่อภ.ผลิตออกสู่ตลาดล้วนได้รับการทดสอบแล้วว่าใช้ได้ผลดี”ภก.วันชัยกล่าว
รองผอ.อภ.กล่าวด้วยว่า ในอนาคตหากผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อาจมีการขยายตลาดไปต่างประเทศ โดยการผลิตและส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ หรือนำกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเหล่านี้ เช่นเดียวกับศูนย์โสมของประเทศเกาหลีใต้ ที่บังคับให้ทุกกลุ่มนักท่องเที่ยวต้องไปเยี่ยมชมเมื่อไปเที่ยวที่ประเทศเกาหลีใต้ หรือบัวหิมะของประเทศจีน เป็นต้น
ภก.วันชัย ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กล่าวว่า หลังจากที่อภ.เปิดตลาดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ กลุ่มสุขภาพผิวพรรณ ที่มีส่วนผสมของขมิ้นชันเป็นหลัก ทั้งเจลใสล้างหน้า ครีมหน้าเด้ง โทนเนอร์ เจลลดริ้วรอยและรอยหมองคล้ำรอบดวงตา และโลชั่นรุงผิว โดยใช้นวัตกรรมในการช่วยดูดซึมเข้าสู่ผิวพรรณแบบซึมลึกเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยี่ห้อลาแมร์ แต่ราคาถูกกว่า ช่วยสร้างรายได้ให้กับองค์การฯ 100 ล้านบาทต่อปี ถือว่ายังไม่ถึงเป้าที่วางไว้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลิตภัณฑ์ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากนัก จากนี้อภจะเปิดตลาดเชิงรุกด้วยการจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปจัดแสดงสินค้าและแจกผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองให้กับประชาชนในต่างจังหวัด เพื่อเป็นการขยายตลาดออกไปในวงกว้าง
ภก.วันชัย กล่าวต่อว่า ในอีกทางหนึ่งอภ.จะผลิตสินค้ารูปแบบใหม่ๆออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วย ในเร็วๆนี้จะเปิดตัวสินค้าใหม่ 2 ชนิด คือ 1.ครีมหน้าเด้งกันแดด จะช่วยให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์สองเท่าจากการใช้ครีมเพียงครั้งเดียว ทั้งช่วยคงความอ่อนเยาว์และป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ และ2.ไวท์เทนนิ่งมะขามป้อม เป็นการนำมะขามป้อม ผลไม้ไทยที่เป็นที่นิยมในร้านสปา เนื่องจากมีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสียอย่างได้ผล มาผลิตในรูปของครีมให้สามารถใช้ได้สะดวก คาดว่าทั้ง 2 ชนิดจะวางตลาดได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ส่วนจะมีขนาดและราคาเท่าไหร่ ขณะนี้กำลังสำรวจความต้องการของตลาดและผลิตภัณฑ์ยี่ห้อต่างๆที่มีการวางขาย จากนั้นจึงจะนำมากำหนดอีกครั้งหนึ่ง
“จากการทำการวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนาของอภ.พบว่ามะขามป้อมช่วยทำให้ผิวขาวขึ้น และใช้ได้ผลดีกว่ามะขามเปียก การที่อภ.มุ่งเน้นพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เพราะต้องการให้คนไทยใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทย แทนที่จะไปใช้สินค้านำเข้าซึ่งส่วนใหญ่เน้นการใช้สารเคมี ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่อภ.ผลิตออกสู่ตลาดล้วนได้รับการทดสอบแล้วว่าใช้ได้ผลดี”ภก.วันชัยกล่าว
รองผอ.อภ.กล่าวด้วยว่า ในอนาคตหากผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อาจมีการขยายตลาดไปต่างประเทศ โดยการผลิตและส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ หรือนำกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเหล่านี้ เช่นเดียวกับศูนย์โสมของประเทศเกาหลีใต้ ที่บังคับให้ทุกกลุ่มนักท่องเที่ยวต้องไปเยี่ยมชมเมื่อไปเที่ยวที่ประเทศเกาหลีใต้ หรือบัวหิมะของประเทศจีน เป็นต้น
