“ไชยา” ทำมึนถามโยกย้าย ขรก.ในกระทรวงเป็นเรื่องใหญ่หรือ ยันย้าย “หมอศิริวัฒน์” ไม่เกี่ยวกับซีแอล มั่นใจ “หมอชาตรี” สานต่อได้ ระบุแค่ย้ายตามความเหมาะสม ดูประวัติการทำงานที่ผ่านมา เหตุสั่ง อย.จัดการเครื่องดื่มชูกำลังผสมสาร-เครื่องในหมู แต่ไม่ได้รับรายงาน ลั่นไม่กลั่นแกล้ง ไม่เกลียดใคร ไม่รู้จัก หรือสนิทเป็นการส่วนตัว ระบุยิ่งเกลียดยิ่งอยากให้อยู่ใกล้ เพื่อให้เข้าใจและรักกัน แต่ไม่พ้นขู่ทุกกรมหากทำงานไม่เข้าตา ก็อาจสั่งย้ายอีก
วันนี้ (26 ก.พ.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 3 คน ประกอบด้วย 1.นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงเขต 8, 9 2.นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมการแพทย์ ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ อย.และ 3.นพ.เรวัต วิศรุตเวช ผู้ตรวจราชการกระทรวงเขต 8, 9 ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการแพทย์
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การโยกย้ายในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการทำซีแอลแต่อย่างใด เป็นเพียงการย้ายเพื่อความเหมาะสม ให้การทำงานเป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ยืนยันว่า ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร เพราะไม่ได้รู้จักหรือสนิทกับใครเป็นการส่วนตัว แต่ดูจากประวัติการทำงานที่ผ่านมา และการย้ายในครั้งนี้ก็อยู่ในระนาบเดียวกัน ระดับ 10 ไป ระดับ 10 ไม่ได้ลดตำแหน่งลง จะเป็นอธิบดี หรือผู้ตรวจราชการ ก็เหมือนกัน ส่วนกรณีการย้าย นพ.ศิริวัฒน์ จากอธิบดีไปเป็นผู้ตรวจ ที่ถูกมองว่า มีศักดิ์ศรีน้อยกว่า ไม่อยากให้คิดเช่นนั้น เพราะข้าราชการอยู่ในตำแหน่งไหน ก็ต้องทำงานได้เหมือนกัน
“ความเหมาะสมในการย้ายครั้งนี้ ดูที่ประวัติราชการ ไม่ต้องห่วงผมไม่ได้แกล้งใคร หรือเกลียดใคร แล้วต้องโยกย้าย และหากยิ่งเกลียดก็ยิ่งต้องเอาไว้ใกล้ตัว จะได้ให้เข้าใจว่าผมกำลังทำอะไร แล้วจะได้รักเรา เพราะตำแหน่งที่โยกย้ายนั้น ผมก็ไม่ได้รู้จักกับท่าน และเห็นหน้าเพียงไม่กี่ครั้งไม่ได้ปรึกษาใคร แต่ปรับเพื่อให้สามารถทำงานต่อได้”นายไชยา กล่าว
เมื่อถามต่อว่า ที่ต้องเปลี่ยนตำแหน่ง เลขาฯ อย.เพราะเหตุผลใดเป็นหลัก นายไชยา กล่าวว่า ความจริงแล้วดูตามความเหมาะสม อย่างเช่น มีการร้องเรียนเรื่องเครื่องดื่มชูกำลังผสมสาร และตนได้สั่งการไปให้ อย.จัดการ จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่ได้รับรายงาน และยังมีการร้องเรียนเรื่องเครื่องในหมู จากเกษตรที่เลี้ยงหมู ซึ่งพบว่าเกิดขึ้นจริง แต่ คำถามคือ อย.ได้มีการดูแลตามขบวนการขั้นตอนหรือไม่ ซึ่งเขาว่ากันว่า อย.ไม่ได้ตรวจ แต่ตนไม่ได้ย้ายเพราะสาเหตุนี้ ดูตามความเหมาะสมมากกว่า และหากเกิดขึ้นกับกรมอื่นก็จะย้ายเช่นกัน ถามว่า หากวันนี้มีไข้เลือดออกระบาดหนัก และกรมควบคุมโรคไม่ทำอะไร ตนก็ย้ายเช่นกัน
ต่อข้อถามว่า การโยกย้ายครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อการทำซีแอลหรือไม่ นายไชยา กล่าวว่า การทำซีแอลที่ผ่านมา มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรสามารถติดตามได้ว่ามีการดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง ไม่มีอะไรที่ต้องกระทบ เพราะทุกคนต้องรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ ความมั่นคงของผู้ป่วย และการเข้าถึงยาเป็นหลัก ซึ่งจากการพูดคุยและเห็นประวัติการทำงานของ นพ.ชาตรี บานชื่น ก็เห็นว่ามีประสบการณ์ทำงานมาก ยังมีไฟที่จะทำงานเรื่องนี้ มีวัยวุฒิ คุณวุฒิ ซึ่งการทำซีแอล ต้องมีการดูแลเรื่องของคุณภาพยาให้มีประสิทธิภาพ เชื่อว่า นพ.ชาตรี จะสามารถทำงานได้
เมื่อถามถึงกรณี นพ.ชาตรี ที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยมี นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองปลัด สธ.เป็นประธาน ยังไม่ได้ผลสรุปการสอบสวน นั้น นายไชยา กล่าวว่า เรื่องมันจบไปแล้ว มีการตัดเงินเดือน ลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว และหากการสอบสวนยังไม่จบกระบวนการการย้ายนพ.ชาตรี ออกมาก็เพื่อให้ยุติธรรม ให้เกิดความโปร่งใส ย้ายข้าราชการเป็นเรื่องใหญ่หรือ มาบอกว่านอกฤดูการโยกย้าย นี่ตนเพิ่งเข้ามาก็ต้องย้าย เพื่อให้ทำงานราบรื่น
“วันนี้ได้มอบหมายนโยบายเรื่องซีแอล ให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาเป็นหลัก เราคนไทยเหมือนกันเข้าใจความรู้สึกดีว่า สธ.เป็นที่พึ่งที่สุดท้ายของผู้ป่วย กระบวนการทำซีแอลขณะนี้นั้น ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง และหาก รมว.พาณิชย์ ไม่ป่วยก็คงเสร็จไปแล้ว อย่าไปคิดว่าเรื่องซีแอลเป็นเรื่องร้อน เพราะเย็นไปแล้ว แต่ผมไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะบริษัทยาจะรู้ได้ว่าเราคิดอะไร”นายไชยา กล่าว นายไชยา กล่าวด้วยว่า อย่าคิดว่าเป็นเรื่องกลั่นแกล้ง อย่างเช่น การย้าย นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งเป็นสำนักงานใหม่ ที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับงานของ ป.ป.ช.ที่ค้างอยู่จำนวนมาก ซึ่ง นายสุนัย มีประสบการณ์พร้อมที่จะสามารถทำงานได้ทันที ตนมองว่า ไม่ใช่เรื่องการกลั่นแกล้ง แต่เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่า เช่นเดียวกับการย้าย นพ.ศิริวัฒน์ และ นพ.ชาตรี ก็เป็นไปเพื่อความเหมาะสม
ทั้งนี้ ภายหลังจากมีข่าวการโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข ผู้สื่อข่าวพยายามขอสัมภาษณ์ นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ถึงเหตุผลที่ใช้ในการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง แต่ นพ.ปราญช์ปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น โดยขอให้สอบถาม รมว.สธ.หรือโฆษก สธ.เมื่อถามว่า ทำไมจึงต้องสอบถาม รมว.สธ.เมื่อปลัดเป็นผู้เสนอรายชื่อ นพ.ปราชญ์ ยังคงเดินหนีและไม่ให้รายละเอียดใดๆ เมื่อถามว่า เป็นคำสั่งให้มีการโยกย้ายหรือไม่ ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ อีกเช่นกัน
ขณะที่ นพ.ชาตรี กล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่อง ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าจะมีการโยกย้ายไปอยู่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพิ่งทราบข่าววันนี้และรู้สึกแปลกใจมากกว่า ส่วนการทำงานในตำแหน่งเลขาฯ อย.ยังไม่ได้คิดมาก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ศิริวัฒน์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการ อย.แทน ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ ที่ลาออกไปเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในสมัยที่ นพ.มงคล ณ สงขลา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากเดิมที่เป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และจัดว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร หรือซีแอล โดยได้รับการแต่งตั้งจาก นพ.มงคล ให้เป็นประธานคณะกรรมการเจรจาต่อรองราคายาจำเป็นที่มีสิทธิบัตร ซึ่ง นพ.ศิริวัฒน์ จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่มีข้อมูลและเชี่ยวชาญเกี่ยวกับซีแอลมาก เนื่องจากเป็นประธานในการเจรจาต่อรองราคายากับบริษัทยาต้านไวรัสเอดส์ ยาละลายลิ้มเลือดและหัวใจ และยามะเร็ง จนกระทั่งสมัยนายไชยา ได้สั่งทบทวนการทำซีแอลยามะเร็ง
สำหรับ นพ.ชาตรี ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมการแพทย์เมื่อปี 2547 ในสมัยที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็น รมว.สธ. และในสมัย นพ.มงคลเป็น รมว.สธ.นั้น นพ.ปราชญ์ ปลัด สธ.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง นพ.ชาตรี จากกรณีการจัดซื้อจัดจ้างคอมพิวเตอร์มูลค่า 900 ล้านบาท โดยมี นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ รองปลัด สธ.ในขณะนั้นเป็นประธาน ต่อมาเมื่อมีการแต่งตั้งโยกย้ายอีกครั้งในสมัย นพ.มงคล นพ.วัลลภ ไทยเหนือ รมช.สธ.ได้เสนอให้ นพ.มงคล พิจารณาโยกย้ายให้ นพ.ชาตรี ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงแต่ไม่เป็นผล และขณะนี้คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงนพ.ชาตรี ชุดที่มี นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองปลัด สธ.เป็นประธานเนื่องจากคณะกรรมการชุดเก่าลาออกทั้งชุดนั้นยังไม่ได้ผลสรุปการสอบสวน
วันนี้ (26 ก.พ.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 3 คน ประกอบด้วย 1.นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงเขต 8, 9 2.นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมการแพทย์ ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ อย.และ 3.นพ.เรวัต วิศรุตเวช ผู้ตรวจราชการกระทรวงเขต 8, 9 ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการแพทย์
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การโยกย้ายในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการทำซีแอลแต่อย่างใด เป็นเพียงการย้ายเพื่อความเหมาะสม ให้การทำงานเป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ยืนยันว่า ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร เพราะไม่ได้รู้จักหรือสนิทกับใครเป็นการส่วนตัว แต่ดูจากประวัติการทำงานที่ผ่านมา และการย้ายในครั้งนี้ก็อยู่ในระนาบเดียวกัน ระดับ 10 ไป ระดับ 10 ไม่ได้ลดตำแหน่งลง จะเป็นอธิบดี หรือผู้ตรวจราชการ ก็เหมือนกัน ส่วนกรณีการย้าย นพ.ศิริวัฒน์ จากอธิบดีไปเป็นผู้ตรวจ ที่ถูกมองว่า มีศักดิ์ศรีน้อยกว่า ไม่อยากให้คิดเช่นนั้น เพราะข้าราชการอยู่ในตำแหน่งไหน ก็ต้องทำงานได้เหมือนกัน
“ความเหมาะสมในการย้ายครั้งนี้ ดูที่ประวัติราชการ ไม่ต้องห่วงผมไม่ได้แกล้งใคร หรือเกลียดใคร แล้วต้องโยกย้าย และหากยิ่งเกลียดก็ยิ่งต้องเอาไว้ใกล้ตัว จะได้ให้เข้าใจว่าผมกำลังทำอะไร แล้วจะได้รักเรา เพราะตำแหน่งที่โยกย้ายนั้น ผมก็ไม่ได้รู้จักกับท่าน และเห็นหน้าเพียงไม่กี่ครั้งไม่ได้ปรึกษาใคร แต่ปรับเพื่อให้สามารถทำงานต่อได้”นายไชยา กล่าว
เมื่อถามต่อว่า ที่ต้องเปลี่ยนตำแหน่ง เลขาฯ อย.เพราะเหตุผลใดเป็นหลัก นายไชยา กล่าวว่า ความจริงแล้วดูตามความเหมาะสม อย่างเช่น มีการร้องเรียนเรื่องเครื่องดื่มชูกำลังผสมสาร และตนได้สั่งการไปให้ อย.จัดการ จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่ได้รับรายงาน และยังมีการร้องเรียนเรื่องเครื่องในหมู จากเกษตรที่เลี้ยงหมู ซึ่งพบว่าเกิดขึ้นจริง แต่ คำถามคือ อย.ได้มีการดูแลตามขบวนการขั้นตอนหรือไม่ ซึ่งเขาว่ากันว่า อย.ไม่ได้ตรวจ แต่ตนไม่ได้ย้ายเพราะสาเหตุนี้ ดูตามความเหมาะสมมากกว่า และหากเกิดขึ้นกับกรมอื่นก็จะย้ายเช่นกัน ถามว่า หากวันนี้มีไข้เลือดออกระบาดหนัก และกรมควบคุมโรคไม่ทำอะไร ตนก็ย้ายเช่นกัน
ต่อข้อถามว่า การโยกย้ายครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อการทำซีแอลหรือไม่ นายไชยา กล่าวว่า การทำซีแอลที่ผ่านมา มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรสามารถติดตามได้ว่ามีการดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง ไม่มีอะไรที่ต้องกระทบ เพราะทุกคนต้องรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ ความมั่นคงของผู้ป่วย และการเข้าถึงยาเป็นหลัก ซึ่งจากการพูดคุยและเห็นประวัติการทำงานของ นพ.ชาตรี บานชื่น ก็เห็นว่ามีประสบการณ์ทำงานมาก ยังมีไฟที่จะทำงานเรื่องนี้ มีวัยวุฒิ คุณวุฒิ ซึ่งการทำซีแอล ต้องมีการดูแลเรื่องของคุณภาพยาให้มีประสิทธิภาพ เชื่อว่า นพ.ชาตรี จะสามารถทำงานได้
เมื่อถามถึงกรณี นพ.ชาตรี ที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยมี นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองปลัด สธ.เป็นประธาน ยังไม่ได้ผลสรุปการสอบสวน นั้น นายไชยา กล่าวว่า เรื่องมันจบไปแล้ว มีการตัดเงินเดือน ลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว และหากการสอบสวนยังไม่จบกระบวนการการย้ายนพ.ชาตรี ออกมาก็เพื่อให้ยุติธรรม ให้เกิดความโปร่งใส ย้ายข้าราชการเป็นเรื่องใหญ่หรือ มาบอกว่านอกฤดูการโยกย้าย นี่ตนเพิ่งเข้ามาก็ต้องย้าย เพื่อให้ทำงานราบรื่น
“วันนี้ได้มอบหมายนโยบายเรื่องซีแอล ให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาเป็นหลัก เราคนไทยเหมือนกันเข้าใจความรู้สึกดีว่า สธ.เป็นที่พึ่งที่สุดท้ายของผู้ป่วย กระบวนการทำซีแอลขณะนี้นั้น ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง และหาก รมว.พาณิชย์ ไม่ป่วยก็คงเสร็จไปแล้ว อย่าไปคิดว่าเรื่องซีแอลเป็นเรื่องร้อน เพราะเย็นไปแล้ว แต่ผมไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะบริษัทยาจะรู้ได้ว่าเราคิดอะไร”นายไชยา กล่าว นายไชยา กล่าวด้วยว่า อย่าคิดว่าเป็นเรื่องกลั่นแกล้ง อย่างเช่น การย้าย นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งเป็นสำนักงานใหม่ ที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับงานของ ป.ป.ช.ที่ค้างอยู่จำนวนมาก ซึ่ง นายสุนัย มีประสบการณ์พร้อมที่จะสามารถทำงานได้ทันที ตนมองว่า ไม่ใช่เรื่องการกลั่นแกล้ง แต่เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่า เช่นเดียวกับการย้าย นพ.ศิริวัฒน์ และ นพ.ชาตรี ก็เป็นไปเพื่อความเหมาะสม
ทั้งนี้ ภายหลังจากมีข่าวการโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข ผู้สื่อข่าวพยายามขอสัมภาษณ์ นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ถึงเหตุผลที่ใช้ในการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง แต่ นพ.ปราญช์ปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น โดยขอให้สอบถาม รมว.สธ.หรือโฆษก สธ.เมื่อถามว่า ทำไมจึงต้องสอบถาม รมว.สธ.เมื่อปลัดเป็นผู้เสนอรายชื่อ นพ.ปราชญ์ ยังคงเดินหนีและไม่ให้รายละเอียดใดๆ เมื่อถามว่า เป็นคำสั่งให้มีการโยกย้ายหรือไม่ ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ อีกเช่นกัน
ขณะที่ นพ.ชาตรี กล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่อง ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าจะมีการโยกย้ายไปอยู่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพิ่งทราบข่าววันนี้และรู้สึกแปลกใจมากกว่า ส่วนการทำงานในตำแหน่งเลขาฯ อย.ยังไม่ได้คิดมาก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ศิริวัฒน์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการ อย.แทน ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ ที่ลาออกไปเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในสมัยที่ นพ.มงคล ณ สงขลา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากเดิมที่เป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และจัดว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร หรือซีแอล โดยได้รับการแต่งตั้งจาก นพ.มงคล ให้เป็นประธานคณะกรรมการเจรจาต่อรองราคายาจำเป็นที่มีสิทธิบัตร ซึ่ง นพ.ศิริวัฒน์ จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่มีข้อมูลและเชี่ยวชาญเกี่ยวกับซีแอลมาก เนื่องจากเป็นประธานในการเจรจาต่อรองราคายากับบริษัทยาต้านไวรัสเอดส์ ยาละลายลิ้มเลือดและหัวใจ และยามะเร็ง จนกระทั่งสมัยนายไชยา ได้สั่งทบทวนการทำซีแอลยามะเร็ง
สำหรับ นพ.ชาตรี ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมการแพทย์เมื่อปี 2547 ในสมัยที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็น รมว.สธ. และในสมัย นพ.มงคลเป็น รมว.สธ.นั้น นพ.ปราชญ์ ปลัด สธ.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง นพ.ชาตรี จากกรณีการจัดซื้อจัดจ้างคอมพิวเตอร์มูลค่า 900 ล้านบาท โดยมี นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ รองปลัด สธ.ในขณะนั้นเป็นประธาน ต่อมาเมื่อมีการแต่งตั้งโยกย้ายอีกครั้งในสมัย นพ.มงคล นพ.วัลลภ ไทยเหนือ รมช.สธ.ได้เสนอให้ นพ.มงคล พิจารณาโยกย้ายให้ นพ.ชาตรี ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงแต่ไม่เป็นผล และขณะนี้คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงนพ.ชาตรี ชุดที่มี นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองปลัด สธ.เป็นประธานเนื่องจากคณะกรรมการชุดเก่าลาออกทั้งชุดนั้นยังไม่ได้ผลสรุปการสอบสวน
