รมว.สธ.คนใหม่ เดินตามรอย ทรท.เป๊ะ ชูประชานิยม ยาหอมหมอ พยาบาล ขึ้นเงินเดือน 6% พร้อมโบนัส พร้อมไม่สั่งเก็บ 30 บาท ผู้ป่วยมะเร็งส่อวืด สั่งรื้อใหม่ ชั่งน้ำหนักผู้ป่วยเข้าถึงยากับปัญหาสิทธิบัตร
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ในการทำงานวันแรก (7 ก.พ.) นี้ ตนจะประกาศนโยบายการทำงานให้กับคณะผู้บริหาร สธ.รับทราบ โดยนโยบายหลัก คือ การแก้ไขโครงสร้างเงินเดือนแพทย์ พยาบาล ที่ถูกจัดสรรให้รวมอยู่ในงบประมาณรายหัวของผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) จึงทำให้แพทย์ พยาบาล ไม่ได้รับการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนได้อย่างเต็มที่เหมือนกับข้าราชการกระทรวงอื่นๆ ทำให้เกิดปัญหาแพทย์สมองไหล ลาออกไปอยู่โรงพยาบาลเอกชน เป็นจำนวนมาก และเกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทั้งระบบ
“ผมจะเร่งหาช่องทางที่จะเพิ่มเงินเดือนให้แพทย์ พยาบาล ได้เต็มอัตรา คือ ร้อยละ 6 ให้เท่าเทียมกับข้าราชการกระทรวงอื่นๆ โดยที่ผ่านมา ข้าราชการ สธ.ได้ขึ้นเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น รวมถึงในอนาคตจะหาช่องทางที่จะสามารถจัดสรรเงินตอบแทน (โบนัส) ด้วย ซึ่งที่ผ่านมา สธ.ยังไม่เคยมีเงินโบนัสมาก่อนด้วย โดยจะเจรจากับกระทรวงการคลัง ว่า สามารถดำเนินการได้หรือไม่ อะไรที่จะเป็นการตอบแทนให้กับคนที่ทุ่มเทการทำงานก็อยากจะให้ เพราะเป็นแรงจูงใจในการทำงานให้กับราชการต่อไป” นายไชยา กล่าว
นายไชยา กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการโครงการระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้น จะไม่มีการทบทวน หรือเปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนเก่าได้ทำไว้ โดยเฉพาะเรื่องการยกเลิกจัดเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาท ก็จะให้เดินหน้าต่อ เพราะถือเป็นประโยชน์ของประชาชน และในอนาคตจะมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนเพิ่มมากขึ้น จะไม่ให้มีพลเมืองชั้นสองเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
นายไชยา กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องการประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (ซีแอล) หากเป็นยาตัวที่มีการประกาศและมีการจัดซื้อยาไปแล้วจำนวน 3 ตัว ก็ให้เดินหน้าต่อไปได้ เพราะเป็นโรคที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก แต่สำหรับเรื่องการทำซีแอลยามะเร็ง 4 รายการ ตนจะทบทวนเรื่องใหม่ โดยจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ
“การทำซีแอลมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างการดูแลผู้ป่วยให้เข้าถึงยา กับปัญหาเรื่องสิทธิบัตรจะต้องไม่ให้ผลกระทบกับไทยมากนัก ซึ่งยามะเร็งที่ได้มีการประกาศซีแอลไปนั้น ค่อนข้างมีนัยสำคัญ เพราะรัฐมนตรีคนเก่าได้เซ็นลงนามไปเมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใกล้จะหมดวาระแล้ว ผมจึงต้องดูว่าเจตนารมณ์ของท่านคืออะไรกันแน่ และที่สำคัญ ผู้ป่วยมะเร็งมีจำนวนมากน้อยแค่ไหน มากเพียงพอที่ไทยต้องประกาศซีแอลหรือไม่ และผู้ป่วยเข้าไม่ถึงยาจริงหรือไม่” นายไชยา กล่าว
