“วิจิตร” ยันนโยบายเดิม รับนักเรียนปีการศึกษา 2551 ปลอด “แปะเจี๊ยะ-เงินกินเปล่า” พร้อมลงนามกำชับคำสั่งเดิมส่งถึงโรงเรียนอีกรอบ หาก สพฐ.ต้องการ ชี้หากรัฐบาลใหม่จะเปลี่ยนนโยบายก็ต้องแจงประชาชนได้ พร้อมหันกลับไปใช้แนวปฏิบัติเก่า ให้การระดมทรัพยากรต้องผ่าน กก.สถานศึกษา ผู้ปกครองสมัครใจ ย้ำนำใบเสร็จไปเบิกไม่ได้
ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการรับนักเรียนปีการศึกษา 2551 ว่า การรับนักเรียนปีนี้จะต้องไม่มีเรื่องการรับเงินกินเปล่า หรือ แปะเจี๊ยะ และการรับเด็กฝากเช่นเดียวกับปีการศึกษาที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ตนกำลังรอว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะให้ตนลงนามหนังสือกำชับไปยังสถานศึกษาอีกครั้งหนึ่งหรือไม่ ซึ่งประกาศกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ตนลงนามไว้เมื่อปีที่ผ่านมาก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ แต่หาก สพฐ.ต้องการให้กระตุ้นโรงเรียนให้ตระหนักถึงปัญหานี้อีกครั้งหนึ่ง ก็จะลงนามหนังสือให้ เพราะเกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดว่าประกาศดังกล่าวใช้แค่ปีที่ผ่านมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามจากการสอบถามผู้อำนวยการโรงเรียนดังๆ หลายคนต่างรู้สึกพอใจกับประกาศดังกล่าว เพราะช่วยให้เขาสบายใจขึ้น ไม่ต้องคอยหลบ หรือไม่รับโทรศัพท์ และไม่ต้องหนีไปเมืองนอก
นายวิจิตร กล่าวอีกว่า ส่วนที่เกรงว่าเมื่อเปลี่ยนรัฐมนตรีจะมีการเปลี่ยนนโยบาย และยิ่งครั้งนี้เป็นรัฐมนตรีที่มาจากการเมือง นโยบายการรับนักเรียนก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีก แต่นโยบายที่ออกมาส่วนหนึ่งเป็นความต้องการของ ผอ.โรงเรียน แต่หากจะมีการเปลี่ยนแปลงก็สามารถทำได้ เพียงแต่ขอให้อธิบายประชาชนให้ได้ เพราะคนที่เดือดร้อนเป็นประชาชน
ส่วนการเก็บเงินค่าบำรุงการศึกษานั้น เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้ลงนามยกเลิกประกาศ ศธ.ว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามที่กรมบัญชีกลางกำหนด ที่ให้สามารถนำไปเบิกจ่ายได้ โดยให้ยึดตามระเบียบ ศธ.ว่าด้วยแนวปฏิบัติในการระดมทรัพยากรเพื่อจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ออกในสมัย นายปองพล อดิเรกสาร เป็น รมว.ศึกษาธิการ ที่ระบุว่าการระดมทรัพยากรและเงินบริจาค จะต้องผ่านกรรมการสถานศึกษา และเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้ปกครอง ที่สำคัญต้องนำเงินเหล่านั้นไปใช้ในการจัดกิจกรรมที่ไม่ใช่กิจกรรมที่จัดอยู่ในหลักสูตรปกติ อีกทั้งผู้ปกครองจะไม่สามารถนำใบเสร็จไปเบิกได้ เพราะไม่ใช่เงินบำรุงการศึกษา
ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการรับนักเรียนปีการศึกษา 2551 ว่า การรับนักเรียนปีนี้จะต้องไม่มีเรื่องการรับเงินกินเปล่า หรือ แปะเจี๊ยะ และการรับเด็กฝากเช่นเดียวกับปีการศึกษาที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ตนกำลังรอว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะให้ตนลงนามหนังสือกำชับไปยังสถานศึกษาอีกครั้งหนึ่งหรือไม่ ซึ่งประกาศกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ตนลงนามไว้เมื่อปีที่ผ่านมาก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ แต่หาก สพฐ.ต้องการให้กระตุ้นโรงเรียนให้ตระหนักถึงปัญหานี้อีกครั้งหนึ่ง ก็จะลงนามหนังสือให้ เพราะเกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดว่าประกาศดังกล่าวใช้แค่ปีที่ผ่านมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามจากการสอบถามผู้อำนวยการโรงเรียนดังๆ หลายคนต่างรู้สึกพอใจกับประกาศดังกล่าว เพราะช่วยให้เขาสบายใจขึ้น ไม่ต้องคอยหลบ หรือไม่รับโทรศัพท์ และไม่ต้องหนีไปเมืองนอก
นายวิจิตร กล่าวอีกว่า ส่วนที่เกรงว่าเมื่อเปลี่ยนรัฐมนตรีจะมีการเปลี่ยนนโยบาย และยิ่งครั้งนี้เป็นรัฐมนตรีที่มาจากการเมือง นโยบายการรับนักเรียนก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีก แต่นโยบายที่ออกมาส่วนหนึ่งเป็นความต้องการของ ผอ.โรงเรียน แต่หากจะมีการเปลี่ยนแปลงก็สามารถทำได้ เพียงแต่ขอให้อธิบายประชาชนให้ได้ เพราะคนที่เดือดร้อนเป็นประชาชน
ส่วนการเก็บเงินค่าบำรุงการศึกษานั้น เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้ลงนามยกเลิกประกาศ ศธ.ว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามที่กรมบัญชีกลางกำหนด ที่ให้สามารถนำไปเบิกจ่ายได้ โดยให้ยึดตามระเบียบ ศธ.ว่าด้วยแนวปฏิบัติในการระดมทรัพยากรเพื่อจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ออกในสมัย นายปองพล อดิเรกสาร เป็น รมว.ศึกษาธิการ ที่ระบุว่าการระดมทรัพยากรและเงินบริจาค จะต้องผ่านกรรมการสถานศึกษา และเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้ปกครอง ที่สำคัญต้องนำเงินเหล่านั้นไปใช้ในการจัดกิจกรรมที่ไม่ใช่กิจกรรมที่จัดอยู่ในหลักสูตรปกติ อีกทั้งผู้ปกครองจะไม่สามารถนำใบเสร็จไปเบิกได้ เพราะไม่ใช่เงินบำรุงการศึกษา