xs
xsm
sm
md
lg

สธ.ปัดฝุ่น “เมกะโปรเจกต์” เสนอ รบ.ใหม่ เพิ่มกำลังหมอ ยกระดับสถานีอนามัยเป็นศูนย์การแพทย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สธ.ปัดฝุ่น “เมกะโปรเจกต์” เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ รื้อโครงการยักษ์รัฐบาลแม้วสานต่อ พร้อมเสนอปรับโครงสร้าง บุคลากร ขนานใหญ่ ยกระดับสถานีอนามัยเป็นศูนย์การแพทย์ ทุกแห่งมีบุคลากรทางการแพทย์ไม่ต่ำกว่า 5 คน ส่วน รพ.ศูนย์ รพ.จังหวัด เพิ่มกำลังแพทย์เฉพาะด้านครบ 4 ด้าน ขณะที่ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อุบัติเหตุ มะเร็ง หัวใจ เดินหน้าเต็มที่

พญ.ศิริพร กัญชนะ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ด้านบริหาร กล่าวว่า ในการประชุมการลงทุนขนาดใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หรือ เมกะโปรเจกต์ ซึ่งถือเป็นการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นการประชุมระดับผู้บริหารกระทรวง โดยให้ทุกภาคส่วนแต่ละหน่วยงานของ สธ.ทบทวนการพัฒนาโครงสร้าง บุคลากรในแต่ละระดับใหม่ ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ว่าควรเป็นไปในทิศทางใดบ้าง ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบกลับไปคำนวณตัวเลขงบประมาณที่จำเป็นต้องในแต่ละโครงการสรุปรวมจัดทำเป็นรายงานกลับมาในวันที่ 23 ม.ค.นี้ โดยคาดว่า จะสามารถทำแผนให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอแผนเมกะโปรเจกต์ให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ ภายใต้รัฐบาลหน้าเพื่อพิจารณาเห็นชอบโครงการได้ในทันที

พญ.ศิริพร กล่าวต่อว่า สำหรับการพัฒนาโครงสร้างกระทรวง และบุคลากรใหม่ในเบื้องต้นนั้น มีการเสนอให้มีศูนย์การแพทย์ในทุกกิ่งอำเภอ ซึ่งมีทั้งหมด 28 แห่ง โดยการยกระดับสถานีอนามัยที่มีอยู่เดิมให้ทันสมัยมากขึ้น มีเครื่องมืออุปกรณ์ครบถ้วน มีการจัดสรรบุคลากรเพิ่มขึ้น โดยให้ศูนย์การแพทย์แต่ละแห่งมีบุคลากรทางการแพทย์ไม่ต่ำกว่า 5 คน เป็นแพทย์ประจำการ 1 คน พยาบาลวิชาชีพ 1 คน พยาบาลเทคนิค 1 คน พนักงานสาธารณสุขอื่นๆ อีก 2 คน ขณะที่โรงพยาบาลชุมชน จะมีการเพิ่มแพทย์เฉพาะทางใน 4 ด้านได้แก่ กุมารแพทย์ สูตินารีแพทย์ อายุแพทย์ ศัลยแพทย์ และอาจรวมถึงวิสัญญีแพทย์ เพื่อให้ระบบมีความสมบูรณ์ พร้อมสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ให้เพียงพอความต้องการ เพื่อให้บุคลากรที่ทำงานมีความสุขมากยิ่งขึ้น

พญ.ศิริพร กล่าวด้วยว่า ส่วนโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจังหวัด จะมีการจัดสรรบุคลากรในส่วนของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้น เพื่อให้ดูแลเฉพาะด้าน เช่น ผู้เชี่ยวชาญตับ ไต ปอด หรือโรคหัวใจ ให้ได้ทำงานในสาขาที่มีเชี่ยวชาญชำนาญ โดยไม่จำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยนอกที่ส่วนใหญ่เป็นโรคทั่วไป เช่น ปวดหัว ตัวร้อน ซึ่งจะทำให้แพทย์มีเวลาดูแลผู้ป่วยมากขึ้น

“นอกจากนี้ จะมีการนำโครงการเมกะโปรเจกต์ที่ สธ.เคยได้นำเสนอรัฐบาลในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ โดนเน้นศูนย์ความเชี่ยวชาญใน 3 ด้าน คือ ศูนย์โรคหัวใจ โรคมะเร็งและอุบัติเหตุ ซึ่งแม้ว่าโรงพยาบาลศูนย์บางแห่งก็เป็นศูนย์อุบัติเหตุ หัวใจ หรือมะเร็งอยู่แล้ว เช่น ขณะนี้ สธ.มี รพ.ศูนย์อุบัติเหตุแล้ว 25 แห่ง แต่ไม่สมบูรณ์ก็จะเสริมให้ครบถ้วนสมบูรณยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้ให้คณะกรรมการที่จัดทำแผนในส่วนต่างๆ สำรวจข้อมูลเบื้องต้นด้วยว่า เดิมสธ.มีศูนย์ต่างๆ เหล่านี้อยู่มากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกัน จังหวัดใดที่ต้องการเป็นศูนย์ความเชี่ยวชาญก็ต้องเกิดมาจากความจำเป็นของแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ ในส่วนภาคเอกชนที่มีศูนย์เชี่ยวชาญอยู่แล้ว ก็จะมีการหารือร่วมกันด้วยว่า จะทำงานเสริมกันได้อย่างไรโดยที่สธ.ไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม และประชาชนที่มีฐานะยากจนสามารถที่ใช้บริการดังกล่าวได้” พญ.ศิริพร กล่าว

พญ.ศิริพร กล่าวอีกว่า ส่วนสำคัญในการปรับโครงสร้างและบุคลากร คือ ในเรื่องของกำลังคนที่ขณะนี้ไม่เพียงพอ แม้ว่าที่ผ่านมา สธ.จะเร่งผลิตบุคลากร รวมถึงให้ทุนในการศึกษาต่อ เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาให้มีเพิ่มมากขึ้นก็ตาม โดยสธ.จะมีการปรับการพิจารณาให้ทุนแพทย์ใหม่ โดยเปลี่ยนจากการพิจารณาแต่ละโรงพยาบาล เป็นการพิจารณาในระดับเขตแทน เพื่อให้ได้แพทย์ใช้ทุนได้กลับไปทำงานในแต่พื้นที่จริงๆ อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น

“สธ.ปัดฝุ่นโครงการเหล่านี้ใหม่เพื่อเสนอให้กับรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะเป็นการสานต่อโครงการเดิมในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่รัฐบาลรักษาการ ได้ชะลอการลงทุนในโครงการใหญ่ๆ ออกไป เนื่องจากเป็นรัฐบาลเฉพาะการจึงไม่กล้าตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะการสนับสนุนและพัฒนาในเรื่องของอุปกรณ์เครื่องมือมีน้อยลง สำหรับงบประมาณดำเนินการคงจะต้องรอให้มีการสรุปอีกครั้งในสัปดาห์หน้า ซึ่งแหล่งงบประมาณอาจมาจากงบดำเนินการปกติ หรือมาจากการกู้ยืมก็ต้องวิเคราะห์ดูในภาพรวมและรายละเอียดให้มีความชัดเจนต่อไป” พญ.ศิริพร กล่าว

ขณะที่ นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า โครงการขนาดใหญ่ของกรมอนามัยที่เตรียมจะเสนอต่อปลัด สธ.นั้น มี 4 โครงการหลัก ได้แก่ 1.การลงทุนจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจค้นทางพันธุกรรมโรคธาลัสซีเมีย เพื่อค้นหาผู้ป่วยและสามารถรู้ผลได้รวดเร็วขึ้น 2.รณรงค์ด้านโภชนาการ ที่เกี่ยวข้องกับโรคนักฆ่าเงียบ ซึ่งมี 5 โรค ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดสมองอุดตัน และมะเร็ง ซึ่งมีหการณรงค์ตั้งแต่ในปีที่ผ่านมาสธ. และต่อเนื่องมาถึงปีนี้ด้วย 3.พัฒนาบุคลากร ให้มีทักษะ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับในอีก 5-6 ปีข้างหน้าที่บุคลากร ผู้เชี่ยวชาญของ สธ.จะต้องเกษียณอายุราชการไปจำนวนมาก หากไม่เร่งพัฒนาบุคลากรทันที จะทำให้ขาดช่วง และระบบสาธารณสุขรวนได้ และ4.ลงทุนด้านระบบการสื่อสาร ที่ต้องใกล้ชิดประชาชนมากยิ่งขึ้น

“ทั้งนี้ ยังไม่มีการคำนวณงบประมาณที่ต้องใช้ทั้งหมด แต่คาดว่าจะเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับโครงการเมกกะโปรเจกต์เดิมของ สธ.เพราะเป็นโครงการเดิมที่ได้เคยเสนอไปในสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต้องชะลอโครงการออกไปก่อน” นพ.ณรงค์ศักดิ์กล่าว

อนึ่ง สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดแผนลงทุนพัฒนาโครงสร้างสาธารณสุขแห่งชาติ ภายใต้โครงการปฏิรูปประเทศไทยไปสู่ความทันสมัยของรัฐบาลโดยสธ. ได้ตั้งงบประมาณในการดำเนินการระหว่าง พ.ศ. 2549-2552 ใช้งบประมาณเกือบ 100,000 ล้านบาท โดยมีโครงการใหม่ 3 โครงการใหญ่ ได้แก่ การจัดระบบบริการสุขภาพ อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-เฮลธ์ (e- health) การตั้งศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคหัวใจ อุบัติเหตุ และโรคมะเร็งและการวิจัยเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ทั้งนี้ ได้มีการเปิดให้บริษัทจากประเทศต่างๆ มาร่วมลงทุนด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น