สธ.เตือนประชาชนที่เป็นมะเร็ง เบาหวาน อย่าหลงเชื่อคำแอบอ้างหมอเถื่อน ว่ารักษาหายขาด ชี้มีแต่ผลเสีย ทำให้เสียเวลาจนโรคลุกลามรักษาไม่ได้ผล สั่งการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งสอดส่องสถานพยาบาลเถื่อน และให้ความรู้แก่ประชาชน
จากกรณีนางสุชาดา ใจเมธา อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 65/3 หมู่ 3 ต.แม่เกิ้ง อ.วังชิ้น จ.แพร่ ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม เข้ารักษากับนายธาร ใจแก้ว อายุ 55 ปี หมอไสยศาสตร์รักษาด้วยการเป่าคาถาเวทมนตร์ อยู่บ้านเลขที่ 103 หมู่ 6 บ้านฮู้ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย เนื่องจากหลงเชื่อคำแอบอ้างว่ารักษาโรคหายมาแล้วนับไม่ถ้วน โดยรักษาเป็นเวลานาน 7 เดือน เสียเงินค่ากินอยู่ในคลินิกเถื่อนและค่ายาพร้อมทั้งค่า “ยกครู” ไปกว่า 20,000 บาท จนอาการทรุดหนักจึงกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลแพร่ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าไม่สามารถรักษาได้แล้ว เนื่องจากมะเร็งลุกลามเข้าสู่ระยะสุดท้าย โดยได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีหมอไสยศาสตร์ข้อหาหลอกลวงประชาชน แต่ยังไม่คืบหน้าใดๆ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัยยังไม่ส่งเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมการรักษาพยาบาลดังกล่าวแต่อย่างใด นั้น
วันนี้ (4 ม.ค.) นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่บ้านนายธาร ใจแก้ว ซึ่งใช้เป็นสถานที่รักษาผู้ป่วยทันที หากพบกระทำผิดให้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งสอดส่องสถานพยาบาลเถื่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ตกเป็นเหยื่อในเรื่องนี้มาก ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน อย่าหลงเชื่อไปรักษา พร้อมเร่งเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน อย่าหลงเชื่อคำบอกเล่า หรือคำแอบอ้างของหมอเถื่อน ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์รับรองผลว่ารักษาได้จริง เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองเงิน จะทำให้เสียเวลาในการรักษาโรค ซึ่งหากแพทย์ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งในระยะเริ่มแรกมีโอกาสรักษาหายขาดโดยการผ่าตัด แต่หากผู้ป่วยไปพึ่งการรักษาด้วยไสยศาสตร์ จะทำเซลล์มะเร็งลุกลาม การรักษาจะยุ่งยากขึ้นหรือไม่สามารถรักษาได้อีกต่อไป
นพ.ปราชญ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงเป็นอันดับ 1 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปี 2540 เสียชีวิต 26,237 คน เพิ่มเป็น 52,062 คนในปี 2549 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เร่งรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง โดยลดการสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า กินอาหารสุขภาพ เพิ่มผักผลไม้ให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม ส่งเสริมการออกกำลังกายให้ได้วันละ 30 นาทีอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน และรณรงค์ค้นหามะเร็งบางชนิดตั้งแต่อยู่ในระยะเริ่มแรก เช่น มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นมะเร็งที่มีโอกาสหายขาดสูง
นอกจากนี้ ขอเตือนผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์อัมพาต ขอให้กินยาและปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ อย่าหยุดยาเองแล้วหันไปใช้ยาสมุนไพรอื่นๆแทน ซึ่งอาจทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
ด้านนพ.ปิยะ ศิริลักษณ์ นายแพทย์ 8 ด้านเวชกรรมป้องกัน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย กล่าวว่า ได้นำทีมนักวิชาการจากกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข กลุ่มงานควบคุมโรค และสาธารณสุขอำเภอศรีสัชนาลัย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.ศรีสัชนาลัย ลงตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า นายธาร ใจแก้ว เปิดให้การรักษาผู้ป่วยที่บ้านของตนเอง มีผู้ป่วยมาพักอาศัยในบริเวณเพิงที่ปลูกสร้างประมาณ 5-6 คน โดยรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ด้วยการเป่าคาถาเสกน้ำมนต์ใส่ไว้ในแกลลอนน้ำพลาสติกเพื่อให้ผู้ป่วยดื่ม ไม่ได้ใช้ยา หรือเครื่องมือใดๆ กับผู้ป่วย
จากการพูดคุยกับผู้ป่วยที่พักอาศัยระหว่างการรักษาต่อ พบว่าบางคนมีความกลัวการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน บางคนเคยรับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแล้วรู้สึกอ่อนเพลีย จึงเลือกมารักษากับนายธารเพราะคิดว่าดีกว่า จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ดูแลทำความเข้าใจกับผู้ป่วยเหล่านี้ต่อเนื่อง เก็บตัวอย่างน้ำมนต์ไปตรวจหาสิ่งปนเปื้อนอันตรายต่อร่างกาย โดยเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และพัฒนาระบบการให้บริการของโรงพยาบาลให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ซึ่งจะช่วยลดความเชื่อในการรักษาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้องให้ลดน้อยลงได้
จากกรณีนางสุชาดา ใจเมธา อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 65/3 หมู่ 3 ต.แม่เกิ้ง อ.วังชิ้น จ.แพร่ ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม เข้ารักษากับนายธาร ใจแก้ว อายุ 55 ปี หมอไสยศาสตร์รักษาด้วยการเป่าคาถาเวทมนตร์ อยู่บ้านเลขที่ 103 หมู่ 6 บ้านฮู้ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย เนื่องจากหลงเชื่อคำแอบอ้างว่ารักษาโรคหายมาแล้วนับไม่ถ้วน โดยรักษาเป็นเวลานาน 7 เดือน เสียเงินค่ากินอยู่ในคลินิกเถื่อนและค่ายาพร้อมทั้งค่า “ยกครู” ไปกว่า 20,000 บาท จนอาการทรุดหนักจึงกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลแพร่ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าไม่สามารถรักษาได้แล้ว เนื่องจากมะเร็งลุกลามเข้าสู่ระยะสุดท้าย โดยได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีหมอไสยศาสตร์ข้อหาหลอกลวงประชาชน แต่ยังไม่คืบหน้าใดๆ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัยยังไม่ส่งเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมการรักษาพยาบาลดังกล่าวแต่อย่างใด นั้น
วันนี้ (4 ม.ค.) นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่บ้านนายธาร ใจแก้ว ซึ่งใช้เป็นสถานที่รักษาผู้ป่วยทันที หากพบกระทำผิดให้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งสอดส่องสถานพยาบาลเถื่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ตกเป็นเหยื่อในเรื่องนี้มาก ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน อย่าหลงเชื่อไปรักษา พร้อมเร่งเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน อย่าหลงเชื่อคำบอกเล่า หรือคำแอบอ้างของหมอเถื่อน ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์รับรองผลว่ารักษาได้จริง เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองเงิน จะทำให้เสียเวลาในการรักษาโรค ซึ่งหากแพทย์ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งในระยะเริ่มแรกมีโอกาสรักษาหายขาดโดยการผ่าตัด แต่หากผู้ป่วยไปพึ่งการรักษาด้วยไสยศาสตร์ จะทำเซลล์มะเร็งลุกลาม การรักษาจะยุ่งยากขึ้นหรือไม่สามารถรักษาได้อีกต่อไป
นพ.ปราชญ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงเป็นอันดับ 1 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปี 2540 เสียชีวิต 26,237 คน เพิ่มเป็น 52,062 คนในปี 2549 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เร่งรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง โดยลดการสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า กินอาหารสุขภาพ เพิ่มผักผลไม้ให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม ส่งเสริมการออกกำลังกายให้ได้วันละ 30 นาทีอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน และรณรงค์ค้นหามะเร็งบางชนิดตั้งแต่อยู่ในระยะเริ่มแรก เช่น มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นมะเร็งที่มีโอกาสหายขาดสูง
นอกจากนี้ ขอเตือนผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์อัมพาต ขอให้กินยาและปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ อย่าหยุดยาเองแล้วหันไปใช้ยาสมุนไพรอื่นๆแทน ซึ่งอาจทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
ด้านนพ.ปิยะ ศิริลักษณ์ นายแพทย์ 8 ด้านเวชกรรมป้องกัน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย กล่าวว่า ได้นำทีมนักวิชาการจากกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข กลุ่มงานควบคุมโรค และสาธารณสุขอำเภอศรีสัชนาลัย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.ศรีสัชนาลัย ลงตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า นายธาร ใจแก้ว เปิดให้การรักษาผู้ป่วยที่บ้านของตนเอง มีผู้ป่วยมาพักอาศัยในบริเวณเพิงที่ปลูกสร้างประมาณ 5-6 คน โดยรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ด้วยการเป่าคาถาเสกน้ำมนต์ใส่ไว้ในแกลลอนน้ำพลาสติกเพื่อให้ผู้ป่วยดื่ม ไม่ได้ใช้ยา หรือเครื่องมือใดๆ กับผู้ป่วย
จากการพูดคุยกับผู้ป่วยที่พักอาศัยระหว่างการรักษาต่อ พบว่าบางคนมีความกลัวการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน บางคนเคยรับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแล้วรู้สึกอ่อนเพลีย จึงเลือกมารักษากับนายธารเพราะคิดว่าดีกว่า จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ดูแลทำความเข้าใจกับผู้ป่วยเหล่านี้ต่อเนื่อง เก็บตัวอย่างน้ำมนต์ไปตรวจหาสิ่งปนเปื้อนอันตรายต่อร่างกาย โดยเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และพัฒนาระบบการให้บริการของโรงพยาบาลให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ซึ่งจะช่วยลดความเชื่อในการรักษาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้องให้ลดน้อยลงได้