สบส.ไม่ฟันธง ฟ้องหมอตัดไข่ เผยรอผลตัดสินด้านจริยธรรมของแพทยสภาก่อน ขณะที่แพทยสภาบอกสามารถทำควบคู่ได้ หากเจ้าของคลินิกประตูน้ำการแพทย์มีความผิดอาญาอีก ยิ่งเป็นผลดีให้คณะกรรมการด้านจริยธรรม ตัดสินผิดได้ง่ายขึ้น พร้อมเตรียมออกข้อบังคับผ่าตัดแปลงเพศ ตัดไข่ถูก กม.ได้
จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ได้ให้ความเห็นว่าการผ่าตัดอัณฑะผู้อื่นโดยเจตนาถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา เพราะอัณฑะถือเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่ายกาย แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้ถูกกระทำก็ตาม เพราะเป็นความยินยอมที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ยกเว้นในกรณีการผ่าตัดที่ผ่านการวินิจฉัยโรค หรือเป็นการการผ่าตัดเพื่อบำบัดโรค ป้องกันโรค ซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยชาญเป็นผู้รักษาให้ไม่ถือว่ามีความผิดนั้น
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.วิศิษฐ์ ตั้งนภากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการจาก สคก. โดยคณะกรรมการสถานพยาบาลได้ร่วมประชุมและลงความเห็นว่าควรส่งหนังสือไปถามความคิดเห็นจาก 2 หน่วยงาน คือ สคก. และแพทยสภา เพื่อถามความเห็นในข้อขัดแย้ง ว่า การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการประกอบวิชาชีพตามหลักหรือไม่ จึงต้องรอให้ได้ข้อสรุปของทั้งสองหน่วยงานก่อน ไม่สามารถนำข้อสรุปเฉพาะของกฤษฎีกามาสรุปได้ จึงจะสามารถนำเข้าที่ประชุม คณะกรรมการสถานพยาบาล ได้ว่า จะตัดสินอย่างไรกับกรณีดังกล่าว และจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะนำเรื่องฟ้องศาลคดีอาญากับ นพ.เทพ เวชวิสิฐ เจ้าของคลินิกประตูน้ำการแพทย์ ที่ได้บริการผ่าตัดอัณฑะให้กับเด็กชายอายุต่ำกว่า 18 ปี ตามที่ถูกร้องเรียนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นที่ถกเถียงว่า เข้าข่าย หรือไม่เข้าข่าย การประกอบตามวิชาชีพเวชกรรม และการตีความของ สคก.ก็ไม่ได้แย้งทีเดียว ว่าถือเป็นความผิด แต่หากมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ถือเป็นการรักษาพยาบาล และหากเป็นไปตามการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ก็ถือว่าไม่ผิด จึงต้องรอข้อสรุปของแพทยสภาที่ชัดเจนอีกครั้งว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายในลักษณะใด อย่างไรก็ตาม กองประกอบโรคศิลปะ สบส.ได้ออกคำสั่ง แจ้งให้สถานพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศระงับการให้บริการผ่าตัดลูกอัณฑะเพื่อการแปลงเพศโดยให้มีผลตั้งแต่ วันที่ 2 เมษายน เป็นต้นมา ซึ่งขณะนี้ก็ถือว่ายังมีผลบังคับใช้อยู่จนกว่าการวินิจฉัยจะสิ้นสุด ดังนั้น การกระทำระหว่างนี้ถือว่าเป็นความผิด
ด้านนพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการจริยธรรม แพทยสภา อยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาความผิดของนพ.เทพ เจ้าของคลินิกประตูน้ำการแพทย์ ว่าเป็นการดำเนินการผิดหลักวิชาชีพเวชกรรมหรือไม่ โดยทางคณะกรรมการจริยธรรม จะนำความเห็นของ สคก.มาพิจารณาด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าคณะกรรมการจริยธรรมจะพิจารณาแล้วเสร็จเมื่อไร เพราะมีเรื่องร้องเรียนพิจารณาเป็นจำนวนมาก แต่จะเร่งให้เร็วที่สุด เพราะถือว่า สคก.ได้ช่วยพิจารณาด้านกฎหมายในเบื้องต้นแล้ว
นอกจากการพิจารณาความผิดของ นพ.เทพ แล้ว แพทยสภาอยู่ระหว่างการออกมาตรการป้องกันการผ่าตัดไข่ที่ผิดหลักวิชาชีพเวชกรรมด้วย โดยคณะอนุกรรมการร่างข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การทำศัลยกรรมแปลงเพศ พ.ศ. ... อยู่ระหว่างการร่างหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการผ่าตัดลูกอัณฑะที่ถูกกฎหมายและถูกหลักวิชาชีพเวชกรรมในอนาคตด้วย โดยจะมีการประชุมในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดประชาพิจารณาได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้
“ต่อไปหากมีผู้ต้องการผ่าตัดลูกอัณฑะทิ้งเพื่อต้องการเป็นหญิง จะสามารถรับบริการผ่าตัดได้ถูกกฎหมาย แต่จะต้องมีคุณสมบัติตรงตามข้อบังคับที่ได้กำหนด เช่น ต้องผ่านการตรวจสอบด้านจิตใจว่าต้องการเป็นผู้หญิงจริงๆ จากจิตแพทย์ ต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิงไม่มากกว่า 1 ปี หรือผ่านการกินฮอร์โมนเพศหญิงมานานกลายปี เป็นต้น ซึ่งข้อบังคับนี้ จะไม่ขัดกับความเห็นของ สคก. ที่ระบุว่าการตัดอัณฑะมีความผิดทางอาญา เพราะข้อบังคับดังกล่าวมีรายละเอียด ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักวิชาชีพเวชกรรมรองรับ” นายกแพทยสภากล่าว
นาวาอากาศเอก(พิเศษ) นพ.อิทธิพร คณะเจริญ กรรมการแพทยสภา กล่าวว่า สบส.ไม่จำเป็นต้องรอให้แพทยสภาตัดสินว่านพ.เทพ มีความผิดด้านจริยธรรมหรือไม่ โดย สบส.สามารถยื่นฟ้องคดีอาญาได้ทันที สามารถทำควบคู่กันได้ เพราะการดำเนินการลงโทษของทั้ง 2 หน่วยงานมีแจตนารมณ์ไม่ตรงกัน ซึ่งหากในทางคดีอาญานพ.เทพ มีความผิดถูกลงโทษอีก ทำให้แพทยสภานำผลคดีมาประกอบการพิจารณาได้ง่ายขึ้นด้วย
ด้านนายนที ธีระโรจนพงษ์ ประธานกลุ่มเกย์การเมืองไทย และผู้ประสานงานองค์กรอัตลักษณ์ทางเพศ กล่าวว่า หลังจากนี้ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตัดสินว่าการตัดอัณฑะเพื่อแปลงเพศ มีความผิดกฎหมายอาญา แม้ว่าจะได้รับความยินยอมแล้ว จึงต้องการให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขที่ดูแลกองประกอบโรคศิลปะ หรือแพทยสภาที่มีหน้าที่ในการดูแลจริยธรรมของแพทย์ ออกมาแถลงข่าวให้ความรู้ด้านวิชาการเผยแพร่ถึงผลกระทบเสียให้สังคมทราบ
“เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแท้ แต่หากไม่ดำเนินการให้ชัดเจน ด้วยการประกาศให้สาธารณชนทราบว่าห้ามตัดไข่เพื่อแปลงเพศ เป็นการถาวร เพราะมีผลกระทบต่อร่างกาย หรือนิ่งเฉยๆไม่ดำเนินการใด จะเดินทางมา สธ.เพื่อเข้าขอคำชี้แจงจากทั้ง 2 หน่วยงานด้วยตนเองปลายสัปดาห์หน้า” นายนที กล่าว
นายนที กล่าวว่า จากข้อมูลที่เครือข่ายแจ้งให้ทราบว่า หลังจากที่ร้องเรียนเรื่องการตัดไข่กับหน่วยงานอื่นๆ ทำให้คลินิกต่างๆ หยุดการดำเนินการในเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ยังเป็นห่วงคือ เมื่อดีมานด์ในตัวของเด็กยังคงต้องการผ่าตัดอยู่ แต่ซัปพลายคือคลินิกที่ถูกต้องไม่ดำเนินการแล้ว จึงห่วงว่าเด็กจะไปหาคลินิกเถื่อนดำเนินการจึงอยากให้ สธ.จับตาในเรื่องนี้ด้วย
“ขณะเดียวกัน ที่เฝ้าระวังคลินิกเถื่อน หรือผู้แอบแฝงตัดไข่ให้เด็ก ก็ต้องให้ความรู้ เปลี่ยนทัศนคติให้ดีมานด์ในตัวเด็กเปลี่ยนแปลงไป ทราบว่ามีผลเสียต่อร่างกายอย่างไร ทั้ง เสี่ยงต่อกาเป็นโรคกระดูกพรุน อัลไซเมอร์ วัยทองก่อนวัยอันควร ฯลฯ ไม่ใช่อย่างทุกวันนี้มีแต่ว่า เป็นกะเทยต้องโตมาภายใต้กรอบสวย แล้วต้องประกวดนางงามเท่านั้น มีทางเลือกอื่นๆอีก โดยสวยที่สมอง โดยไม่ต้องเป็นนางงามและแปลงเพศก็ได้เหมือนกัน” นายนทีกล่าว